กำหนดเวลาในการชำระราคาของผู้ซื้อ

กำหนดเวลาในการชำระราคาของผู้ซื้อ
 
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 490 บัญญัติว่า "...ถ้าได้กำหนดกันไว้ว่าให้ส่งมอบทรัพย์สินซึ่งขายนั้นเวลาใด ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเวลาอันเดียวกันนั้นเองเป็นเวลากำหนดใช้ราคา..."
 
ตามมาตรา 490 บัญญัติเป็นข้อสันนิษฐานถึงเวลาในการใช้ราคา แต่ไม่ได้บัญญัติไว้โดยตรงถึงสถานที่ที่ชำระราคา ฉะนั้นเมื่อส่งมอบเวลาใดผู้ซื้อต้องใช้ราคาเวลานั้น จึงน่าจะรวมสันนิษฐานไปถึงสถานที่ที่จะใช้ราคาด้วยเช่นเดียวกันกับเวลาส่งมอบ
 
สัญญาซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน จึงนำหลักในเรื่องผลแห่งสัญญาต่างตอบแทนมาใช้บังคับด้วย ซึ่งมาตรา 369 บัญญัติว่า "ในสัญญาต่างตอบแทนนั้น คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ แต่ความ ข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับถ้าหนี้ของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ถึงกำหนด" การที่กฎหมาย สันนิษฐานถึงการชำระราคาและการส่งมอบพร้อมกันนั้น เพราะว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ที่ซื้อขายอาจโอนกันเมื่อใดก็ได้ ซึ่งอาจจะโอนไปทันที โดยไม่ใช่เวลาที่ส่งมอบกรรมสิทธิ์อาจจะโอนไปก่อนหรือหลังการส่องมอบก็ได้
 
การส่งมอบก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ซื้อในการที่จะได้ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินนั้นเพื่อตนเอง จึงเหมาะสมที่จะกำหนดให้ใช้ราคากันในเวลาส่งมอบ เมื่อส่งมอบกันเมื่อใด ก็สันนิษฐานได้ว่าผู้ซื้อชอบที่จะชำระราคากันเมื่อนั้น เว้นแต่จะได้ตกลงกันเป็นอย่างอื่นและถ้าถึงกำหนดชำระราคาตามข้อสันนิษฐานของกฎหมาย (ถ้าไม่มีกำหนดเวลาชำระราคาไว้เป็นอย่างอื่น) หรือถึงกำหนดชำระราคาตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาแล้ว ผู้ซื้อไม่ยอมชำระถือว่าผู้ซื้อตกเป็นผู้ผิดนัด ถ้าผู้ขายยังไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สินก็มีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินไว้ได้และผู้ซื้อจะต้องชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ถึงกำหนดในสัญญาหรือถึงกำหนดตามข้อสันนิษฐานของกฎหมาย เว้นแต่จะตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา
 
หน้าที่ของผู้ซื้ออีกประการหนึ่ง คือ ต้องออกค่าฤชาธรรมเนียมในการซื้อขายคนละครึ่ง กับผู้ขาย เว้นแต่จะมีข้อตกลงเป็นอย่างอื่น ค่าฤชาธรรมเนียม คือ เงินค่าที่จะต้องเสียให้กับรัฐ ค่านายหน้า ค่าวิ่งเต้นเพื่อให้มีการซื้อหรือขายทรัพย์สินนั้นไม่ใช่ค่าฤชาธรรมเนียม ส่วนค่าจดทะเบียน ค่าออกโฉนด ฯลฯ เป็นค่าฤชาธรรมเนียมในการซื้อขาย
 
สิทธิของผู้ขายถ้าผู้ซื้อไม่ชำระราคาและหรือไม่รับมอบทรัพย์สินที่ซื้อขาย
 
1. ผู้ขายมีสิทธิงดส่งมอบทรัพย์สินที่ขายโดยมีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินที่ขาย ถ้าทรัพย์สินยังอยู่ในความครอบครองของผู้ขาย แม้ทรัพย์สินนั้นจะได้ส่งให้ผู้ขนส่งไปแล้ว ก็ยังให้กลับคืนมายังผู้ขายได้ (มาตรา 468, มาตรา 626 และมาตรา 250)
 
2. ผู้ขายอาจจะบอกกล่าวให้ผู้ซื้อชำระราคาและรับมอบทรัพย์สิน หรือฟ้องร้อง ต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้ (มาตรา 213)
 
3. ถ้าผู้ซื้อไม่ชำระราคาก็มีสิทธิเอาทรัพย์สินออกขายทอดตลาดได้ (มาตรา 470 และมาตรา 471)
 
4. ถ้าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินไปให้แก่ผู้ซื้อแล้วก็สิ้นสิทธิยึดหน่วง แต่ผู้ขายยังมีบุริมสิทธิพิเศษที่จะได้รับชำระหนี้เฉพาะในทรัพย์สินที่ซื้อขายก่อนเจ้าหนี้คนอื่น ๆ บุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์ซื้อขาย (มาตรา 259 (5)) ให้มีบุริมสิทธิสำหรับราคาซื้อขายรวมทั้งดอกเบี้ยในราคานั้น และมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์อันนั้น (มาตรา 270) สำหรับอสังหาริมทรัพย์นั้นบัญญัติไว้ในมาตรา 273 (3) และมาตรา 276- ซึ่งมาตรา 276 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้นใช้สำหรับเอาราคาอสังหาริมทรัพย์และดอกเบี้ยในราคานั้น และมีอยู่เหนืออสังหาริมทรัพย์อันนั้น" ซึ่งสัญญาซื้อขายนั้นต้องเป็นการ ซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อแล้ว แต่ถ้ากรรมสิทธิ์ยังไม่โอนผู้ขายก็ยังคง มีสิทธิในทรัพย์สินที่ซื้อขายอยู่นั่นเอง (มาตรา 1336) จึงไม่จำต้องนำบทบัญญัติเรื่อง บุริมสิทธิมาใช้บังคับ
 
5. ถ้ามัดจำ (มาครา 377 และมาตรา 378) ผู้ขายมีสิทธิริบมัดจำและถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นจากการไม่ชำระหนี้ ผู้ขายมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายได้ (มาตรา 215) และถ้าตกลงกันให้มีการเรียกเบี้ยปรับ ผู้ขายก็มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับได้
การที่กฎหมายบัญญัติให้มีการชำระค่าสินไหมทดแทนความเสียหายในกรณีผิดสัญญานั้นก็เพื่อชดใช้ค่าเสียหาย และให้ความพอใจแก่ฝ่ายที่ไม่ผิดสัญญา สำหรับความเสียหายที่ได้รับจริงๆ กฎหมายไม่ประสงค์จะให้มมีการค้ากำไรในการผิดสัญญาเบี้ยปรับ คือ ค่าเสียหายที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้าจึงเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหาย
 
มาตรา 383 บัญญัติไว้ว่าถ้าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงก็ได้ ก็มีความหมายว่าให้เจ้าหนี้เรียกค่าเสียหายได้เต็มจำนวนที่โจทก์ได้รับความเสียหายแล้วโจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยเสียเบี้ยปรับให้โจทก็อีกไม่ได้ แม้ตามสัญญาจะตกลงไว้ว่า ถ้าจำเลยผิดสัญญาจะยอมใช้ค่าเสียหายและยอมให้ปรับอีกด้วยก็ตาม เพราะขัดต่อมาตรา 380 วรรคสอง (คำพิพากษาฎีกาที่ 791/2513)
ค่าเสียหายฐานผิดสัญญาซื้อขายคำนวณจากราคาของนั้น ๆ ในวันผิดสัญญาเป็น หน้าที่ของฝ่ายที่ฟ้องเรียกค่าเสียหายนำสืบถึงจำนวนค่าเสียหาย ถ้านำสืบไม่ได้หรือ สืบให้แน่นอนไม่ได้หรือไม่สืบเสียเลย ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้ได้ตาม ที่เห็นสมควรโดยพิจารณาจากวิญญูชนและพฤติการณ์ตามปกติ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1015/2487 และ 250/2489)
ดังนั้น นอกจากจะริบมัดจำแล้วยังเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญาได้อีก (คำพิพากษาฎีกาที่ 1035/2475)
 
ค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ (ตามมาตรา 222) จะเรียกร้องกันได้ต่อเมื่อ คู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้คาดเห็น หรือควรจะได้คาดเห็นในขณะทำสัญญา ถ้าอยู่นอกความคาดหมายของคู่สัญญาแล้วจะเรียกร้องเอาแก่กันไม่ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1310/2480)
 
ดังนั้น ในการเรียกร้องค่าเสียหายฐานผิดสัญญาจะเรียกร้องให้ใช้ค่าเสียหายซ้อนค่าเสียหายไม่ได้ แม้จะสืบถึงค่าเสียหายแล้วแต่ศาลเห็นว่ามากเกินไป ศาลอาจจะกำหนดค่าเสียหายได้ตามสมควรแก่พฤติการณ์ (คำพิพากษาฎีกาที่ 524/2516)
 
6. ผู้ขายมีสิทธิเลิกสัญญาและเรียกค่าสินไหมทดแทนได้อีกด้วย (มาตรา 386, มาตรา687, มาตรา388 และ มาตรา391) แต่สิทธิของคู่สัญญาในอันที่จะบังคับเอาแก่คู่สัญญาฝ่ายที่ผิดสัญญา อาจจะบังคับให้ปฏิบัติชำระหนี้ หรือบอกเลิกสัญญาและเรียก ค่าเสียหาย เมื่อจำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาและเรียกค่าเสียหายแล้วย่อมจะบังคับให้โจทก์ชำระหนี้ตามสัญญาไม่ได้ การฟ้องเรียกราคาหมายความว่าฟ้องให้ปฏิบัติตามสัญญา นั่นเอง (คำพิพากษาฎีกาที่ 982/2513)
เมื่อขอเลิกสัญญาและมีการสนองรับการเลิกสัญญาแล้ว โดยมิได้ขอสงวนสิทธิค่าเสียหาย จะมาฟ้องเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าผิดสัญญาไม่ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 710/2486)
 
เมื่อเลิกสัญญาผลทำให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม ดังนั้น ถ้าเกิดดอกผลหรือดอกเบี้ยต้องคืนให้แก่กันด้วย (คำพิพากษาฎีกาที่ 37/2484)
 
การจะเลิกสัญญา ถ้าไม่ได้ระบุว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาแล้วอีกฝ่ายหนึ่งจะใช้สิทธิเลิกสัญญาได้ทันที และถ้าถือไม่ได้ว่าคู่สัญญามีเจตนาจะถือเอากำหนดเวลาผ่อนชำระราคาเป็นรายเดือนเป็นสำคัญ แม้ผู้ซื้อจะผิดสัญญาไม่ผ่อนชำระราคาเป็นรายเดือนตามกำหนด ผู้ขายยังไม่มีสิทธิเลิกสัญญาได้ทันที ต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้ผู้ซื้อชำระราคาทรัพย์สินที่ค้างอยู่ ถ้าผู้ซื้อยังไม่ชำระภายในระยะเวลาที่กำหนดอีกจึงจะเลิกสัญญาได้ (มาตรา 386 และคำพิพากษาฎีกาที่ 2428/2515)
 
ปรึกษากฎหมายโทร 080-9193691 ,02-0749954
หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
สาขาเชียงใหม่ โทร 080-3955536 แอดไลน์ @closelawyercmi
หรือ คลิก https://lin.ee/Zu2JmNU
www.closelawyer.co.th
5d7Cr3mZUt

แบบฟอร์มปรึกษากฎหมาย/คดีความ

กรุณากรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ทีมงานจะตอบคำถามท่านภายใน 3 วัน

ชื่อผู้ตอบ:

Visitors: 652,724