หากผิดสัญญาจะซื้อจะขายเงินดาวที่ได้จ่ายไปไม่ถือเป็นเงินมัดจำริบไม่ได้และหากมีค่าปรับจากเหตุที่ผิดสัญญาย่อมเป็นการเรียกซ้ำซ้อนจากเงินมัดจำไม่อาจเรียกได้แม้จะกำหนดไว้ตามสัญญาก็ตาม
หากผิดสัญญาจะซื้อจะขายเงินดาวที่ได้จ่ายไปไม่ถือเป็นเงินมัดจำริบไม่ได้และหากมีค่าปรับจากเหตุที่ผิดสัญญาย่อมเป็นการเรียกซ้ำซ้อนจากเงินมัดจำไม่อาจเรียกได้แม้จะกำหนดไว้ตามสัญญาก็ตาม
หากท่านไม่ทราบว่าค่ามัดจำคืออะไร
เป็นแบบไหนอาจจะเสียรู้ให้กับอีกฝ่ายหนึ่งได้ ค่ามัดจำนั้นไม่ว่าจะให้เป็นเงินสด
หรือสิ่งของ ย่อมสามารถมัดจำไว้ได้ทั้งนั้น โดยต้องส่งมอบในวันทำสัญญา
หรือกำหนดไว้โดยเฉพาะว่าเป็นเงินมัดจำในการทำสัญญาดังกล่าว
หากท่านไม่ทำการทักท้วงหลังจากโดนคักเงินอันมิใช่มัดจำแล้วอาจจะสูญเงินเปล่า
ตัวอย่าง
ในการทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านหลังหนึ่งพร้อมที่ดิน
โดยได้กำหนดในสัญญาว่าต้องวางมัดจำต่อกันเป็นจำนวนเงิน 1%
ของยอดที่จะซื้อจะขายกันทรัพย์สินดังกล่าว เป็นเงิน 2,000,000
ดังนั้นเงินมัดจำที่ผู้จะซื้อจักต้องวางในวันทำสัญญาคือ 20,000 บาทเท่านั้น แต่ทางผู้จะขายย่อมกำหนดเงินดาวบ้านและที่ดินลงไว้ด้วยคือ 10%
เป็นเงิน 200,000 บาท
โดยให้ผู้จะซื้อทำการผ่อนชำระเป็นงวดๆ
ในระหว่างนั้นก็ทำการก่อสร้างไปเรื่อยๆ พร้อมกับผ่อนชำระเงินดาว
โดยกำหนดส่งมอบบ้านและที่ดินภายในอีก 2 ปี ปรากฏว่าผู้จะซื้อไม่ได้สนใจที่จะซื้อบ้านหลังดังกล่าวอีกต่อไป
จึงทำการบอกเลิกสัญญาและขอเงินค่าดาวน์บ้านคืน
ดังนั้นผู้จะขายทำได้เพียงแค่รีบเงินมัดจำในจำนวนเงิน
20,000
บาทที่ได้ให้ไปก่อนหน้านั้น
ส่วนเงินดาวน์ที่ผู้จะซื้อได้ชำระไปแล้วต้องคืนให้แก่ผู้จะซื้อ
ไม่อาจริบได้เนื่องจากไม่ใช่เงินมัดจำตามกฎหมาย
อ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9514/2544
แม้โจทก์จะได้วางเงินจำนวน 55,000 บาท
ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพร้อมที่ดินก็ตาม
แต่เงินจำนวนดังกล่าวนี้ก็มิได้หมายความว่าจะเป็นเงินมัดจำไปเสียทั้งหมด
ต้องขึ้นอยู่กับเจตนาของคู่กรณีเป็นสำคัญ เมื่อเจตนาของโจทก์และจำเลยปรากฏชัดแจ้งอยู่ในสัญญาแล้วว่าให้ถือเป็นเงินดาวน์
จึงต้องถือว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ดินพร้อมทาวน์เฮ้าส์
ส่วนเงินดาวน์ที่โจทก์ผ่อนชำระไปแล้วอีก 10 งวดจำนวน 87,000
บาท นั้น ยิ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เงินมัดจำ
เพราะเป็นเงินที่ผ่อนชำระกันหลังจากทำสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพร้อมที่ดินแล้ว
ดังนั้น
เมื่อโจทก์ผิดสัญญาจำเลยจะริบเงินเหล่านี้โดยอ้างว่าเป็นเงินมัดจำที่อาจริบตามกฎหมายไม่ได้
สัญญาจะซื้อจะขายข้อ 9
ระบุว่าหากโจทก์ซึ่งเป็นผู้จะซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินตามที่ระบุในสัญญา
ให้ถือว่าโจทก์ผิดสัญญาและยินยอมให้จำเลยริบเงินที่ชำระไว้แล้วทั้งหมด
กับให้ถือว่าสัญญานี้เป็นอันยกเลิกกันทันทีโดยมิต้องบอกกล่าว ดังนั้น
เมื่อโจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ผลคือสัญญาเลิกกัน เงินที่โจทก์ส่งมอบแก่จำเลยดังกล่าวเพื่อชำระหนี้บางส่วนย่อมกลับเป็นเงินอันจะต้องใช้คืนเพื่อให้คู่สัญญากลับสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 391 แม้เมื่อโจทก์จำเลยตกลงกันให้ริบโดยไม่ต้องใช้คืนเพื่อกลับสู่ฐานะเดิมข้อตกลงให้ริบดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่กำหนดเป็นจำนวนเงินตามมาตรา
379 และเบี้ยปรับนี้ถ้าสูงเกินส่วน
ศาลก็มีอำนาจที่จะลดลงให้เหลือเป็นจำนวนที่พอสมควรได้
ส่วนที่ตกลงกันไว้ในตอนท้ายของสัญญาข้อ 9 อีกว่า
หากโจทก์ผู้จะซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินตามสัญญาอีกยอมชำระค่าปรับให้แก่จำเลยผู้จะขายต่างหากเป็นเงินครั้งละ
10,000บาท ก็เป็นเบี้ยปรับเช่นกัน
แต่ที่กำหนดไว้ในสัญญาให้เรียกได้อีกนั้นเป็นการซ้ำซ้อน
จึงไม่กำหนดเบี้ยปรับให้แก่จำเลยอีก
มาตรา 377 "เมื่อเข้าทำสัญญา ถ้าได้ให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำท่านให้
ถือว่าการที่ให้มัดจำนั้นย่อมเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญานั้นได้ทำกันขึ้นแล้ว อนึ่ง
มัดจำนี้ย่อมเป็นประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นด้วย"
ปรึกษากฎหมายโทร
080-9193691
, 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ
คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments