ลูกหนี้ยักย้ายถ่ายโอนที่ดินเพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ยึดทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ เจ้าหนี้ฟ้องเพิกถอนได้
การกู้ยืมเงินกันบางท่านอาจจะให้ยืมไปโดยที่ขอให้ผู้กู้เอกสารสิทธิ์
เช่น เอกสารสิทธิ์ต่างๆเกี่ยวกับโฉนดที่ดิน เอกสารสิทธิ์ทางด้านพาหนะรถยนต์หรือจักรยานยนต์ก็
เป็นต้น
เพื่อให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้ว่าหากจะทำการขายหรือนำไปค้ำประกันการกู้ยืมเงินอื่นต้องมาชำระหนี้แก่ผู้ให้กู้ก่อน
แต่ขอยกตัวอย่างในทางปฏิบัติปรากฏว่าลูกหนี้หลายๆ
คนนำความไปแจ้งกับเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อขอเอกสารสิทธิ์ที่นำไปฝากกับเจ้าหนี้เพื่อยึดถือเป็นกระกันใหม่
โดยแจ้งว่าหาย ถูกทำลายอะไรก็แล้วแต่เพื่อให้ได้เอกสารตัวนี้มา
เพื่อนำมาโอนขายแก่บุคคลอื่น(บุคคลที่สาม) หากทำการโอนโดยเสน่หาหรือผู้รับโอนทราบถึงการที่ให้บุคคลอื่นยึดถือโฉนดนั้นถือเป็นการไม่สุจริต
เจ้าหนี้ย่อมติดตามร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้
เป็นการทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบในการติดตามทรัพย์สินมาชำระหนี้ให้แก่ตน
กรณีทำการแอบโอนขายต่อบุคลอื่นโดยมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นการเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตเจ้าหนี้ไม่อาจะฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้
กฎหมายต้องคุ้มครองบุคคลภายนอกซึ่งมิได้รู้ถึงการกู้ยืมระหว่างผู้ให้กู้และผู้กู้เลย
แต่การกระทำของลูกหนี้ที่ไปขอเอกสารสิทธิ์ใหม่โดยอ้างเหตุอย่างอื่นซึ่งไม่เป็นความจริงนั้นย่อมมีความผิดตามกฎหมายอาญาในข้อหาแจ้งความเท็จกับเจ้าพนักงานต้องระวงถึงข้อนี้ด้วย
อ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3975/2553
การฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
เป็นการให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ที่จะสงวนไว้ซึ่งกองทรัพย์สินของลูกหนี้
เพราะทรัพย์สินของลูกหนี้ย่อมเป็นหลักประกันในการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 214 ดังนั้น
เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนการฉ้อฉลจึงหมายถึงเจ้าหนี้ที่มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้และต้องเสียเปรียบจากการที่ทรัพย์สินของลูกหนี้ลดลงไม่พอชำระหนี้อันเนื่องมาจากการทำนิติกรรมฉ้อฉลของลูกหนี้
ไม่ว่าเจ้าหนี้ดังกล่าวจะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่ก็ตาม
แม้เจ้าหนี้ในหนี้ที่ยังไม่ได้มีการฟ้องร้องบังคับให้ชำระหนี้ก็มีสิทธิที่จะร้องขอให้เพิกถอนได้เมื่อโจทก์แจ้งความดำเนินคดีอาญาและฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยที่
1 จำเลยที่ 1 ย่อมทราบว่าตกเป็นลูกหนี้ที่จะต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์
การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2
โดยเสน่หา และไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะให้โจทก์บังคับคดีได้อีกนอกจากที่ดินพิพาทจำเลยที่
1 ย่อมรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์เจ้าหนี้เสียเปรียบ
โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซึ่งเป็นการฉ้อฉลนั้นเสียได้
มาตรา 237 เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ ซึ่งนิติกรรมใดๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ
แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น
บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย
แต่หาก กรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียว
เท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้
บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้
ท่านมีให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมใดอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน
มาตรา 238 การเพิกถอนดังกล่าวมาในบทมาตราก่อนนั้น ไม่อาจกระทบกระทั่งถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันได้มาโดยสุจริตก่อนเริ่มฟ้องคดีขอเพิกถอน
ปรึกษากฎหมายโทร 080-9193691 , 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments