หลักเกณฑ์ทั่วไปของละเมิด
หลักเกณฑ์ทั่วไปของละเมิด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 บัญญัติว่า "ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดีทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น"
เมื่อพิจารณาในมาตรา 420 อาจแยกหลักเกณฑ์การกระทำที่เป็นละเมิดโดยทั่วไปได้เป็น 4 ประการ คือ
1. ผู้ใดกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
2. กระทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย
3. บุคคลอื่นได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด
4.ความเสียหายนั้นเป็นผลเกิดจากการกระทำของผู้ทำละเมิด
1. ผู้ใดกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
คำว่า "ผู้ใด" ตามความในมาตรา 420 นี้ หมายความถึง บุคคลผู้กระทำละเมิด มีปัญหาต่อไปว่า บุคคลผู้กระทำละเมิดในที่นี้จะหมายความถึงบุคคลประเภทใดบ้าง ผู้เยาว์หรือบุคคล วิกลจริต ย่อมถือว่าเป็น "ผู้ใด" ตามความหมายในมาตรานี้ได้หรือไม่ ในเรื่องนี้นักนิติศาสตร์เห็นกันว่า ผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริต ย่อมถือว่าเป็น "ผู้ใด" ตานความหมายในมาตรา 420 นี้ได้ ส่วนผู้เยาว์หรือบุคคลวิกลจริตต้องรับผิดฐานละเมิดหรือไม่จะต้องไปพิจารณาถึงหลักเกณฑ์หรือองค์ประกอบในส่วนอื่น ๆ ด้วยว่ามีหลักเกณฑ์หรือองค์ประกอบครบถ้วนหรือไม่ เช่น มีการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อหรือไม่ กระทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายหรือไม่ บุคคลอื่นได้รับความเสียหายหรือไม่ ดังนี้เป็นต้น มีตัวอย่างที่พอจะชี้ให้เห็นได้ชัดก็คือ สมมติว่า นายดำไปเยี่ยมนายขาว ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันปรากฏว่านายดำ เห็นเด็กชายแดงอายุ 3 เดือนบุตรของนายขาวกำลังน่ารักจึงเข้าไปอุ้ม ในระหว่างที่นายคำอุ้มเด็กชายแดงอยู่นั้น นิ้วมือเด็กชายแดงไปถูกที่ตาของนายดำได้รับบาดเจ็บกรณีอย่างนี้จะเห็นได้ว่าเด็กชายแดงแม้อายุเพียง 3 เดือน ก็ยังถือว่าเป็น "ผู้ใด" ตามความหมายในมาตรา 420 นี้ แต่เด็กชายแดงไม่ต้องรับผิดในทางละเมิดเพราะเหตุว่า การที่นิ้วมือเด็กชายแดงไปถูกที่ตาของนายดำนั้น ไม่ถือว่าเป็นการกระทำของเด็กชายแดงเนื่องจากเด็กชายแดงไม่ได้รู้สำนึกในการเคลื่อนไหวร่างกาย กรณีที่จะถือว่าเป็นการกระทำนั้นจะต้องเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายภายใต้บังคับของจิตใจ หรือที่เรียกว่า เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก
มีปัญหาน่าคิดว่า คำว่า ผู้ใด" ตามความในมาตรา 420 นี้ จะหมายความรวมถึงนิติบุคคลด้วยหรือไม่ ในเรื่องนี้ได้มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยถึงความรับผิดของนิติบุคคลในทางละเมิดเอาไว้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ 761/2518 เทศบาลจำเลยมีหน้าที่ซ่อมแชมถนน ไม่ทราบว่ามีทางเท้าเป็นหลุมขนาดใหญ่มา 2 ปี จึงไม่ซ่อม เป็นเหตุให้โจทก์เดินตกลงไป นับว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยอันเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ฝ่ายเดียว เพราะมิใช่วิสัยของโจทก์ผู้สัญจรไปมาตามทางสาธารณะจะพึงคาดหมายได้ว่า ตามทางสาธารณะนั้นจะมีหลุมบ่อขนาดใหญ่ที่ทำให้เกิดอันตรายแก่ตนขวางอยู่ได้
คำพิพากษาฎีกาที่ 2432/2520 จำเลยเดินรถรับส่งผู้โดยสารในเส้นทางที่โจทก์ได้รับอนุญาตโดยมีกำหนดเวลาออกรถและสถานที่จอดรถที่แน่นอนประจำทุกวัน เมื่อรถจำเลยถึงปลายทาง ผู้โดยสารต่างคนต่างแยกย้ายกันไป รถจำเลยไม่ได้พาผู้โดยสารไปทัศนาจรที่ใดเลย และการจำหน่ายตัวโดยสารก็จำหน่ายเป็นรายบุคคล ในอัตราค่าโดยสารที่เป็นปกติธรรมดา มิใช่เพื่อการทัศนาจร ดังนี้ ย่อมถือว่าจำเลยเดินรถในลักษณะที่เป็นการแข่งขันกับโจทก์ผู้มีสิทธิทำการขนส่งเดินรถประจำทางในเส้นทางสายที่โจทก์ได้รับอนุญาต ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์
สรุป คำว่า "ผู้ใด" ตามความในมาตรา 420 นี้ หมายความถึงบุคคลผู้กระทำละเมิดซึ่งอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ ในกรณีที่เป็นบุคคลธรรมดานั้นย่อมหมายถึงบุคคลทุกคนไม่ว่าบุคคลนั้นจะบรรลุนิติภาวะหรือเป็นผู้เยาว์ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีจิตปกติหรือเป็นบุคคลวิกลจริตบุคคลเหล่านี้ย่อมถือว่าเป็น "ผู้ใด" ตามความหมายในมาตรา 420 นี้ทั้งสิ้น
กรณีที่จะถือว่าเป็นละเมิดหรือไม่นั้นในเบื้องต้นต้องพิจารณาเสียก่อนว่ามี การกระทำหรือไม่ ถ้าไม่มีการกระทำ แล้ว ความรับผิดทางละเมิดเกิดขึ้นไม่ได้
คำว่า "การกระทำ" จะมีความหมายเพียงใดนั้นนั้นนักกฎหมายได้ให้ความเห็นดังนี้
1. ความเห็นของนักกฎหมาย Common Law
ท่านอาจารย์ J.A. Jolowicz ได้อธิบายไว้ว่า "การกระทำ (act) หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก"
ท่านอาจารย์ R.W.M.Dias ได้อธิบายไว้ว่า "การกระทำ หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายถ่ายใต้การบังคับของจิตใจ ( involves a bodily movement Controllable by will )”
ท่านอาจารย์ David M. Walker ได้อธิบายไว้ว่า "การกระทำ หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายที่แสดงออกมาภายนอกภายใต้บังคับจิตใจของผู้กระทำซึ่งก่อให้เกิดความเสียหาย"
2. ความเห็นของนักกฎหมาย Civil Law
ท่านอาจารย์ Nigel G Foster ได้อธิบายไว้ว่า "การกระทำ หมายถึงการเคลื่อนไหว
ร่างกายโดยรู้สำนึกของมนุษย์ซึ่งตามปกติผู้กระทำแสดงปรากฏออกมาภายนอก"
ท่านอาจารย์ Marcel Planiol นักกฎหมายชาวฝรั่งเศส อธิบายไว้ว่า "การกระทำหมายถึงการเคลื่อนไหวร่างกายที่แสดงปรากฏออกมาภายนอกภายใต้การบังคับของจิตใจ”
ท่านอาจารย์ Ambroise Colin นักกฎหมายชาวฝรั่งเศส อธิบายไว้ว่า การกระทำที่จะก่อให้เกิดความผิด (faute ) นั้น จะต้องเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกของผู้ก่อให้เกิดความเสียหาย
3. ความเห็นของนักกฎหมายไทย
ท่านศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ ได้อธิบายไว้ว่า "การกระทำ หมายถึง การเคลื่อนไหวอิริยาบถโดยรู้สำนึกในการเคลื่อนไหวนั้น"
ท่านศาสตราจารย์ไพจิตร ปุญญพันธุ์ ได้อธิบายไว้ว่า "การกระทำย่อมหมายถึงความเคลื่อนไหวในอิริยาบถโดยรู้สำนึกในความเคลื่อนไหว กล่าวคือ เพียงแต่มีความเคลื่อนไหวในอิริยาบถย่อมไม่เป็นการเพียงพอที่จะถือว่ามีการกระทำ บุคคลที่เคลื่อนไหวดังว่านี้จะต้องรู้สำนึกในความเคลื่อนไหวของตนด้วย ดังนี้จึงจะเรียกว่ามีการกระทำหรือบุคคลที่เคลื่อนไหวโดยมีความรู้สำนึกนั้นได้กระทำ เช่น ก. ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ดังนี้ย่อมเป็นการกระทำของ ก. เพราะ ก. รู้สำนึกในความเคลื่อนไหวของตนเองที่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
ปรึกษากฎหมายโทร 080-9193691 , 02-0749954
หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
สาขาเชียงใหม่ โทร 080-3955536 แอดไลน์ @cly.cmi
หรือ คลิก https://lin.ee/hCbTQl6
สาขาขอนแก่น โทร 095-9567735 แอดไลน์ @cly.kkn
หรือ คลิก https://lin.ee/U10ElNk
www.closelawyer.co.th
#ทนายใกล้ตัว
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments












