โมฆะกรรม หมายความว่าอย่างไร
โมฆะกรรม หมายความว่าอย่างไร
โมฆะกรรมเป็นเรื่องของผลของการทำนิติกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ ให้นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆะ เช่น นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย หรือนิติกรรมที่มิได้ทำตามแบบ เป็นต้น
นิติกรรมใดเป็นโมฆะ นิติกรรมนั้นย่อมเสียเปล่า ไม่มีผลตามกฎหมายที่จะเรียกร้องให้บังคับกันได้ตามนิติกรรมนั้น
โมฆะกรรม มีสาเหตุจาก 6 ประการ คือ
1.เพราะนั้นมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามมาตรา 150
ฎีกาที่ 701/2553
จำเลยที่ 1 และที่ 2 สมคบกันทำสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 30 กันยายน 2541 จำนวนเงิน 500,000 บาทและฉบับลงวันที่ 30 เมษายน 2542 จำนวนเงิน 200,000 บาท โดยมิได้เป็นหนี้กันจริง แล้วดำเนินคดีและบังคับคดี ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 42/2545 ของศาลชั้นต้นต่อที่ดินโฉนดเลขที่ 47781 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 เพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1142/2544 ของศาลชั้นต้น บังคับคดีต่อทรัพย์สินดังกล่าวได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการจงใจทำผิดกฎหมาย อันเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 สัญญากู้ยืมเงินทั้ง 2 ฉบับและสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 42/2545 ของศาลชั้นต้น จึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายและขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา 150 โดยไม่ต้องเพิกถอน
2.เพราะมิได้ทำตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ตามมาตรา 152
ฎีกาที่ 6190/2550
บทบัญญัติตามมาตรา 68 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ ศ. 2534 กำหนดให้สัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อนายทะเบียนสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าระหว่าง ก. กับโจทก์ที่ยังมิได้จดทะเบียน ย่อมตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 152 โจทก์จึงไม่มีสิทธิตามสัญญาอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายการค้าและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยว่าละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้านั้น
3.เพราะการแสดงเจตนาวิปริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 154 ถึง 156 คือ เกิดจากการะแสดงเจตนาซ่อนเร้น
เจตนาลวง เจตนาอำพราง การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม
4.เพราะขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายตาม มาตรา 187 ถึง 190 คือเงื่อนไขที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นต้น
5.เพราะขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายตามมาตรา 151
ฎีกาที่ 8211/2547
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 10 วรรคสอง บัญญัติว่า "ในกรณีที่นายจ้างเรียกหรือรับเงินประกันหรือทำสัญญาประกันกับลูกจ้างเพื่อชดใช้ความเสยหายที่งกจ้างเป็นผู้กระทำ เมื่อนายจ้างเลิกจ้างหรืองกจ้างลาออก หรือสัญญาประกันสิ้นอายุ ให้นายจ้างคืนเงินประกันพร้อมดอกเบี้ย (ถ้ามี) ให้แก่ลูกจ้างภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่นายจ้างเลิกจ้าง หรือวันที่งกจ้างลาออก หรือวันที่สัญญาประกันสิ้นอายุ แล้วแต่กรณี" ดังนี้ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับ ส. ที่ว่า หาก ส. ลาออกจากงานก่อน 24 เดือนส.ขอสละสิทธิไม่รับเงินประกัน แม้จะตกลงกันก่อนที่โจทก์จะจ้าง ส.แต่ก็เป็นข้อตกลงที่แตกต่างจากบทบัญญัติข้างต้นซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงตกเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 151
6.นิติกรรมที่เป็นโมฆียะแล้วถูกบอกล้างโดยชอบตามมาตรา 176
ผลของโมฆะกรรม คือ
1. บุคคลผู้มีส่วนได้เสียสามารถยกขึ้นกล่าวอ้างได้ และผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดจะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างได้ ถ้าจะต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ
บุคคลผู้มีส่วนได้เสีย หมายถึง ผู้ที่จะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์จากนิติกรรมนั้น
บุคคลผู้มีส่วนได้เสียทุกคนสามารถยกเอาความเสียเปล่าขึ้นมากล่าวอ้างได้ โดยไม่จำกัดเฉพาะคู่กรณีในการทำนิติกรรมเท่านั้น ฉะนั้นบุคคลผู้มีส่วนได้เสีย จึงหมายความรวมถึงบุคคลที่จะได้รับประโยชน์หรือเสียประโยชน์ ถ้านิติกรรมนั้นเป็นผลหรือไม่เป็นผลหรือกลับกัน ดังนั้น ผู้มีส่วนได้เสียจึงอาจรวมถึงผู้สืบสิทธิเจ้าหนี้ ลูกหนี้ หรือผู้ค้ำประกันของคู่กรณีด้วย
ฎีกา 3072/2536 คำว่า "ผู้มีส่วนได้เสีย" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา133 เดิม
(มาตรา172ใหม่) หมายถึง ผู้ที่จะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์หากนิติกรรมที่กล่าวอ้างว่าเป็นโมฆะเป็นผลหรือไม่เป็นหรือกลับกันเมื่อโจทก์ทั้งสี่ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าบิดาโจทก์ทั้งสี่ซื้อที่ดินพิพาทมาจาก ส.ผู้ล้มละลายต่อมาบิดาโจทก์ทั้งสี่ถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ทั้งสี่และจำเลยให้การต่อสู้ว่าบิดาโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากส.ขณะที่ส.เป็นบุคคลล้มละลายนิติกรรมซื้อขายเป็นโมฆะโจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยดังนี้จำเลยจึงเป็นผู้ที่จะได้ประโยชน์จากที่นิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่าง ส.กับบิดาโจทก์ทั้งสี่เป็นโมฆะจำเลยจึงชอบที่จะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นอ้างได้
กำหนดเวลาการกล่าวอ้างความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรม กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าจะต้องกล่าวอ้าง
ขึ้นเมื่อใด ฉะนั้น บุคคลผู้มีส่วนได้เสีย จึงสามารถยกขึ้นมากล่าวอ้างได้เสมอโดยไม่จำกัดเวลา ถ้าหากว่าโมฆะกรรมนั้นยังไม่มีการปฏิบัติหรือรับปฏิบัติชำระหนี้ไปตามนิติกรรม
2.โมฆะกรรมไม่อาจให้สัตยาบันได้
สัตยาบัน หมายถึง การยืนยันหรือการรับรอง
โดยทั่วไปการให้สัตยาบันจะทำแต่เฉพาะนิติกรรมที่เป็นโมฆียะกรรม คือ ผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมที่เป็นโมฆียกรรมนั้น ยืนยันหรือรับรองให้นิติกรรมที่เป็นโมฆียกรรมนั้นเป็นนิติกรรมที่สมบูรณ์ ทำให้ไม่อาจบอกล้างได้แต่มาตรา 172 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าโมฆะกรรมไม่อาจให้สัตยาบันแก่กันได้ ฉะนั้น โมฆะกรรมจึงไม่อาจมีการให้สัตยาบันได้เพราะไม่สามารถทำให้นิติกรรมที่เป็นโมฆะไปแล้วกลับคืนมาเป็นสิ่งสมบูรณ์ได้และไม่ทำให้เกิดผลในทางกฎหมายแต่อย่างใด
3..การคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม
โมฆะกรรมเป็นการทำนิติกรรมที่เสียเปล่า ไม่ก่อให้เกิดผลทางกฎหมาย คู่กรณีจึงยังคงอยู่ในฐานะเดิมเหมือนมิได้มีการทำนิติกรรมกันเลย ดังนั้น การชำระหนี้หรือการปฏิบัติตามโมฆะกรรมจึงเป็นการกระทำโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ บุคคลผู้ได้ทรัพย์สินไป จึงจำต้องคืนทรัพย์สินให้แก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งในฐานลาภมิควรได้
บทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้ อยู่ในมาตรา 407 – 419
การเรียกคืนทรัพย์ฐานลาภมิควรได้ ต้องตกอยู่ในอายุความการเรียกคืนทรัพย์ในเรื่องลาภมิควรได้
ตามมาตรา 419 คือ จะต้องเรียกคืนภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ผู้เรียกคืนรู้ถึงสิทธิเรียกร้อง หรือภายใน 10 ปี นับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น
นิติกรรมตกเป็นโมฆะบางส่วน
มาตรา 173
ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของนิติกรรมเป็นโมฆะ นิติกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมฆะทั้งสิ้น เว้นแต่จะพึงสันนิษฐานได้โดยพฤติการณ์แห่งกรณีว่า คู่กรณีเจตนาจะให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะนั้นแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้
อธิบาย
โดยปกติแล้วถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของนิติกรรมเป็นโมฆะ นิติกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมฆะทั้งสิ้นเว้นแต่มีกรณีที่พึงสันนิษฐานได้โดยพฤติการณ์แห่งกรณีว่า คู่กรณีเจตนาจะให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะนั้นแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้
ฎีกา 805/2536
จำเลยเป็นหนี้เงินกู้โจทก์ 10,000 บาท อีก 13,800 บาทเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือนซึ่งเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ตกเป็นโมฆะ ปรากฏว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกันโดยกำหนดราคาเท่ากับต้นเงินและดอกเบี้ยที่จำเลยค้างชำระดังกล่าว ดังนี้ แม้ราคาที่กำหนดในสัญญาจะรวมเอาเงินกู้ที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากจำเลยไว้ด้วยกันก็ตาม แต่โจทก์จำเลยไม่ได้เจตนาที่จะแยกการซื้อขายที่ดินพิพาทบางส่วนในราคาเงินต้น 10,000 บาท ที่จำเลยค้างชำระออกจากราคาที่ดินอีก13,800 บาท ซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะนั้น สัญญาซื้อขายจึงเกิดจากหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายย่อมเป็นโมฆะทั้งฉบับตามมาตรา 173
ฎีกา 1647/2549
สัญญากู้ยืมเงินส่วนที่เกิน 350, 000 บาท เป็นดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงินที่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด แล้วนำมารวมเข้าเป็นต้นเงินกู้ที่ทำขึ้นใหม่ เป็นดอกเบี้ยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 และพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3 (ก)ส่วนของต้นเงินที่มาจากดอกเบี้ยที่ไม่ชอบทั้งหมดย่อมตกเป็นโมฆะ แต่ไม่ทำให้ส่วนของต้นเงินที่ชอบจำนวน 350,000 บาท เสียไปด้วย เพราะพึงสันนิษฐานโดยพฤติการณ์แห่งกรณีได้ว่าโจทก์จำเลยเจตนาให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 โจทก์จึงคงมีสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ยืมเงินในส่วนที่ชอบคือต้นเงิน 350, 000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 มกราคม 2540 ซึ่งเป็นวันทำสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาเป็นมูลฟ้อง ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 19 มกราคม 2536 ซึ่งเป็นวันที่กู้ยืมเงินตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับก่อนทั้งที่โจทก์มิได้ฟ้องขอให้บังคับ จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากคำฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246
ฎีกา 235/2551
เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นคู่สัญญาในสัญญาประนีประนอมยอมความ การที่จำเลยที่ 1ลงลายมือชื่อในบันทึกข้อตกลงชดใช้ค่าเสียหายไม่ว่าในส่วนใดก็ต้องถือว่าลงลายมือชื่อในฐานะคู่สัญญาและแม้ข้อตกลงในส่วนที่โจทก์สละสิทธิในการดำเนินคด ็ไนข้อหาพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารซึ่งเป็นความผิดต่อแผ่นดินจะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตกเป็นโมฆะก็ตามก็เป็นส่วนที่แยกออกจากส่วนที่ไม่เป็นโมฆะได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 173 สัญญาประนีประนอมยอมความในส่วนที่สมบูรณ์ยังมีผลผูกพันจำเลยที่ 1
นิติกรรมเป็นโมฆะแต่สมบูรณ์เป็นนิติกรรมอย่างอื่น
มาตรา 174
การใดเป็นโมฆะแต่เข้าลักษณะเป็นนิติกรรมอย่างอื่นซึ่งไม่เป็นโมฆะ ให้ถือตามนิติกรรมซึ่งไม่เป็นโมฆะ ถ้าสันนิษฐานได้โดยพฤติการณ์แห่งกรณีว่า หากคู่กรณีได้รู้ว่าการนั้นเป็นโมฆะแล้วก็คงจะได้ตั้งใจมาตั้งแต่แรกที่จะทำนิติกรรมอย่างอื่นซึ่งไม่เป็นโมฆะนั้น
อธิบาย
นิติกรรมใดเป็นโมฆะ แต่หากเข้าลักษณะเป็นนิติกรรมอย่างอื่นซึ่งไม่เป็นโมฆะ ให้ถือตามนิติกรรมที่ไม่เป็นโมษะ หากสันนิษฐานได้โดยพฤติการณ์แห่งกรณีว่า หากคู่กรณีได้รู้ว่าการนั้นเป็นโมฆะก็คงจะได้ตั้งใจมาตั้งแต่แรกที่จะทำนิติกรรมอย่างอื่นซึ่งไม่เป็นโมฆะนั้น
เช่น ทำสัญญาซื้อขายที่ดินมีเพียงสิทธิครอบครอง ไม่ได้ทำตามแบบย่อมตกเป็นโมฆะ แต่เมื่อได้ส่งมอบการครอบครองแก่ผู้ซื้อแล้ว แม้สัญญาซื้อขายโมฆะไม่สมบูรณ์แต่ก็ถือว่าเจตนาสมบูรณ์ด้วยการส่งมอบการครอบครองแล้ว
ปรึกษากฎหมายโทร
ได้ที่ 080-9193691 , 02-0749954
หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
สาขาเชียงใหม่ โทร 080-3955536 แอดไลน์ @cly.cmi
หรือ คลิก https://lin.ee/w7Ikc1z
สาขาขอนแก่น โทร 095-9567735 แอดไลน์ @cly.kkn
หรือ คลิก https://lin.ee/vbQlVcap
www.closelawyer.co.th
ทนายใกล้ตัว
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments












