ดอกผลจากที่ดินที่ปล่อยเช่าซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนตัวเมื่อได้รับค่าเช่าถือเป็นสินสมรส
กรณีที่ได้รับที่ดินมาจากมรดก
หากนำที่ดินมรดกนั้นออกให้เช่าระหว่างที่สมรสกับหญิงหรือชายใดทรัพย์สินนั้นย่อมถือว่าเป็นสินสมรสอันได้มาระหว่างที่ได้จดทะเบียนสมรสกัน
หากได้หย่าขาดจากกันเงินส่วนนั้นจำต้องแบ่งให้เท่ากัน
ตัวอย่าง นาย
ก แต่งงานกับนาง ข ต่อมาระหว่างสมรสนาย ก
ได้ที่ดินเปล่ามาสิบไร่จากทรัพย์มรดกและได้นำที่ดินนั้นออกให้นาย ต เช่าเป็นระยะเวลา
10 ปี มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท ต่อมานาย ก และนาง ข
ต่างได้จดทะเบียนหย่าขาดจากกันแต่นาย ก
ไม่ยอมแบ่งเงินจำนวนดังกล่าวให้อ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากมรดกเป็นสินส่วนตัว
ดังนั้น
การที่นาย ก อ้างว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวฟังไม่ขึ้นดอกผลจากทรัพย์สินส่วนตัวเมื่อได้มาระหว่างสมรสย่อมถือเป็นสินสมรสตามกฎหมายต้องแบ่งต่อกันระหว่างคู่สมรสหากได้หย่าขาดจากกันไป
อ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่
6870/2556 จำเลยที่ 2
และที่ 3 ให้การต่อสู้ว่าข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างจำเลยที่
1 กับที่ 2 เป็นการตกลงแบ่งทรัพย์สินในลักษณะเจ้าของรวม
แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะอุทธรณ์อ้างว่าต้องนำบทกฎหมายว่าด้วยหุ้นส่วนมาใช้บังคับก็เป็นข้อที่คู่ความหยิบยกเอาข้อกฎหมายมาปรับใช้แก่ข้อเท็จจริงในคดีอันเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลโดยเฉพาะ
และหากศาลเห็นว่าข้อกฎหมายที่คู่ความอ้างมาไม่ถูกต้องก็ชอบที่จะปรับบทกฎหมายไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนเองได้
อุทธรณ์ในปัญหานี้จึงเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากล่าวแล้วในศาลชั้นต้น
แม้ทรัพย์สินที่จำเลยที่
1
ได้มาในระหว่างสมรสกับโจทก์จะเป็นทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์รวมกับบุคคลอื่นก็ต้องถือว่าในส่วนที่จำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เพราะสินสมรสไม่จำต้องเป็นทรัพย์สินที่ทั้งสองเป็นฝ่ายร่วมกันทำมาหาได้
หากแต่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาก็ย่อมมีผลให้เป็นสินสมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 1474
(1) โดยไม่จำต้องมีข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินระหว่างเจ้าของรวมก่อนจึงจะเป็นสินสมรส
การที่จำเลยที่ 1 ตกลงกับจำเลยที่
2 เกี่ยวกับการแบ่งทรัพย์สินซึ่งส่วนของจำเลยที่ 1 เป็นสินสมรสจึงมิใช่เป็นการแบ่งทรัพย์สินระหว่างเจ้าของรวมตามปกติตาม
ป.พ.พ. มาตรา 1364 หากแต่มีลักษณะเป็นการทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับสินสมรสตาม
ป.พ.พ. มาตรา 850 และเป็นการจัดการสินสมรส ซึ่งตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1476 (6) วรรคหนึ่ง
บัญญัติให้ต้องจัดการร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง
เมื่อโจทก์มิได้ให้ความยินยอมแก่จำเลยที่ 1 ในการทำนิติกรรมดังกล่าว
โจทก์ชอบที่จะฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมแบ่งทรัพย์สินได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1480
จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาททั้งแปลงไปขายให้แก่จำเลยที่
3 เพราะการจำหน่ายตัวทรัพย์สินจะกระทำได้ก็แต่ด้วยความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคน
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1361 วรรคสอง การที่จำเลยที่ 3 ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่
2 และคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3
จึงกระทำการโดยไม่สุจริตและไม่มีสิทธิดีไปกว่าจำเลยที่ 2 โจทก์ขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 2 และที่
3 เฉพาะทรัพย์ส่วนที่เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1
ได้
ปรึกษากฎหมายโทร
080-9193691
, 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ
คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments