การที่รัฐได้ดำเนินการเวนคืนที่ดิน แต่ไม่ดำเนินการเริ่มทำประโยชน์ให้เป็นไปตามจุดประสงค์ภายใน 5 ปี เจ้าของที่ดินเดิมหรือทายาท สามารถร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ได้ภายใน 3 ปี นับแต่วันครบกำหนด
การที่รัฐได้ดำเนินการเวนคืนที่ดิน
แต่ไม่ดำเนินการเริ่มทำประโยชน์ให้เป็นไปตามจุดประสงค์ภายใน 5 ปี
เจ้าของที่ดินเดิมหรือทายาท สามารถร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ได้ภายใน 3 ปี
นับแต่วันครบกำหนด
ตามกฎหมายนั้นสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล ย่อมได้รับการรับรองและคุ้มครอง โดยระบุไว้เสมอในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ประเด็นเรื่องการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์นั้น รัฐจะกระทำตามอำเภอใจไม่ได้ เว้นแต่
เพื่อการอันเป็นสาธารณูปโภค การอันจำเป็นในการป้องกันประเทศ การได้มาซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ
การผังเมือง การส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การพัฒนาการเกษตร
หรือการอุตสาหกรรม การปฏิรูปที่ดิน การอนุรักษ์โบราณสถานและแหล่งทางประวัติศาสตร์
หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอยางอื่น และแน่นอนต้องชดใช้ค่าทดแทนที่เป็นธรรมให้แก่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ด้วย
โดยกฎหมายเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ต้องระบุวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืน และกำหนดระยะเวลาการเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ไว้ให้ชัดแจ้ง
ถ้ามิได้ใช้เพื่อการนั้นภายในระยะเวลา 5 ปี จะต้องคืนให้เจ้าของเดิมหรือทายาท
อย่างไรก็ดี
แม้รัฐจะตรากฎหมายเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ประโยชน์ตามอำนาจหน้าที่เพื่อ
ประโยชน์สาธารณะตามขอบเขตที่กฎหมายให้อำนาจไว้
แต่ในทางปฏิบัติมีบางครั้งที่หน่วยงานทางปกครองผู้เวนคืนอสังหาริมทรัพย์อาจไม่ได้นำอสังหาริมทรัพย์ที่เวนคืนไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ที่แท้จริง
หรืออาจนำไปใช้เพียงบางส่วน ทำให้เกิดเป็นข้อพิพาทระหว่างผู้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์กับหน่วยงานทางปกครองที่ใช้อำนาจนั้น
อ้างถึงคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 422/2558 กรณีการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ
พ.ศ. 2530 เพื่อสร้างทางพิเศษระบบทางด่วน เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่ง
อันเป็นกิจการสาธารณูปโภค
แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืนทั้งหมด
แต่กลับนำที่ดินบางส่วนไปใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นที่ไม่เป็นไปตาม
วัตถุประสงค์ของการเวนคืน คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืนตามกฎหมาย
เนื้อที่ 30 ตารางวา แต่ที่ดินของผู้ฟ้องคดี
ถูกนำไปใช้เป็นสองส่วน คือ ส่วนแรกเนื้อที่ 12.65 ตารางวา
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (การทางพิเศษแห่งประเทศไทย)
ได้ให้กรุงเทพมหานครใช้สร้างพื้นผิวจราจรและทางเท้า วางระบบสาธารณูปโภคบนที่ดิน
เช่น ท่อระบายน้ำ ป้าย ต้นไม้ เครื่องหมายจราจรและอื่น ๆ ส่วนที่สองเนื้อที่ 17.35
ตารางวา ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของผู้ฟ้องคดีส่วนที่เหลือจากการเวนคืน
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้ให้ นางสาว น. เช่าทำประโยชน์
เนื้อที่ 3.35 ตารางวา ส่วนที่เหลืออีก 14 ตารางวา เป็นที่ว่างไม่ได้ทำประโยชน์ใด ๆ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า
ที่ดินส่วนที่สองมิได้นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืน
แต่ได้มีการนำไปหาผลประโยชน์ในทางธุรกิจโดยนำไปเรียกเก็บค่าเช่าจากผู้เช่าที่ดิน
จึงนำคดีมาฟ้องเพื่อขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษา ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย)
คืนที่ดินส่วนนี้โดยยินยอมจะชำระเงิน ค่าที่ดินส่วนที่ขอคืนให้
กรณีดังกล่าวจึงมีประเด็นปัญหาว่า
จะถือว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินตามขอบเขตวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืน
หรือไม่? และเจ้าของที่ดินมีสิทธิขอคืนที่ดินส่วนที่สองนั้นหรือไม่
?ซึ่งกฎหมายเกี่ยวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ กำหนดไว้ว่า
ตามปกติการที่รัฐจะเวนคืนอสังหาริมทรัพย์จะกระทำได้เท่าที่มีความจำเป็นตามขอบเขตวัตถุประสงค์
แห่งการเวนคืน และต้องกำาหนดระยะเวลาเข้าใช้อสังหาริมทรัพย์ไว้ให้ชัดแจ้ง
เมื่อรัฐได้เวนคืนอสังหาริมทรัพย์มาแล้ว
รัฐย่อมจะต้องนำไปใช้ตามความจำเป็นภายในขอบเขตวัตถุประสงคแห่งการเวนคืน
ถ้ารัฐมิได้นำไปใช้ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืน
หรือใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนเพียงบางส่วน
หรือมิได้ใช้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ก็จะต้องคืนให้เจ้าของเดิมหรือทายาท
ส่วนการคืนอสังหาริมทรัพย์
ให้เจ้าของเดิมหรือทายาทและการเรียกคืนค่าทดแทนที่ชดใช้ไปให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
(มาตรา 42 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
และมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. 2530) ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า
เมื่อที่ดินของผู้ฟ้องคดีที่ถูกเวนคืนเนื้อที่ 30 ตารางวา ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง
ได้ให้กรุงเทพมหานครใช้เพื่อก่อสร้างถนนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับทางขึ้น -
ลงทางพิเศษศรีรัช และให้รับผิดชอบดูแล และบำรุงรักษารวมทั้งใช้สอยเพื่อสาธารณประโยชน์อื่น
ๆ โดยเมื่อพิจารณาการนำที่ดินของผู้ฟ้องคดีที่ถูกเวนคืนไปใช้ประโยชน์แล้วเห็นว่า
ที่ดินส่วนแรกเป็นการนำที่ดินไปสร้างทางพิเศษตามความหมายของคำว่าทางพิเศษตามข้อ 1
แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 290 ที่บัญญัติว่า
ทางพิเศษ หมายความว่า ทางหรือถนนซึ่งจัดสร้างขึ้นใหม่ไม่ว่า ในระดับพื้นดิน
ใต้พื้นดิน เหนือพ้นพื้นดินหรือพื้นน้ำ เพื่ออำนวยความสะดวกในการจราจรเป็นพิเศษ
และหมายความ รวมถึง ... ทางเท้า ที่จอดรถ เขตทาง ไหล่ทาง ท่อ ทางระบายน้ำ
เครื่องหมายจราจรและอาคารหรือสิ่งอื่นอันเป็นอุปกรณ์ เกี่ยวกับงานทางพิเศษ
อันถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองได้นําที่ดินส่วนแรกไปสร้างทางพิเศษตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืนแล้ว
สำหรับที่ดินส่วนที่สอง ยังไม่ได้มีการใช้ประโยชน์
ประกอบกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ได้แสดง
พยานหลักฐานเกี่ยวกับแผนงานการใช้ประโยชน์ในที่ดินส่วนนี้ต่อศาลและเมื่อรับฟังประกอบข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองนำที่ดินส่วนที่สองบางส่วนไปเรียกเก็บค่าเช่าจากนางสาว
น. ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมิได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินส่วนที่สองในการสร้างทางพิเศษตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืน
แต่ได้นําที่ดินที่บังคับเวนคืนมาใช้ประโยชน์อย่างอื่น ซึ่งไม่อาจกระทำได้ แม้พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวและพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืน
อสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 จะมิได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับกำหนดระยะเวลาในการใช้
และการคืนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนให้แก่เจ้าของเดิมหรือทายาทก็ตาม
แต่เมื่อมาตรา 33 วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2521 (ซึ่งใช้บังคับในขณะนั้น)
ได้บัญญัติให้ใช้อสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยการเวนคืนเพื่อประโยชน์ตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย
และถ้าไม่ได้ใช้เพื่อประโยชน์ดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนดในกฎหมาย ต้องคืนให้เจ้าของเดิม
หรือทายาท เว้นแต่จะนำไปใช้ เพื่อการอื่นและโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติของกฎหมาย
อีกทั้งกรณีนี้มิใช่การตกลงซื้อขายกันตามมาตรา 456 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
แต่เป็นมาตรการหนึ่งในการที่รัฐโดยเจ้าหน้าที่เวนคืนสามารถที่จะเลือกใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินที่จะเวนคืน
ซึ่งจะต้องดำเนินการภายใต้บทบัญญัติมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. 2530 ฉะนั้น เมื่อไม่มีการใช้ที่ดินของผู้ฟ้องคดีในส่วนที่สองนี้
ทั้งไม่ปรากฏว่าได้มีการตรากฎหมายเวนคืนที่ดินส่วนที่เหลือจากการใช้ประโยชน์ดังกล่าวไปใช้เพื่อการอื่นอีก
ผู้ฟ้องคดีก็ชอบที่จะเรียกคืนที่ดินได้ โดยผู้ถูกฟ้องคดี
ทั้งสองมีหน้าที่ต้องคืนที่ดินในส่วนที่สองให้แก่ผู้ฟ้องคดี
พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันดำเนินการคืนกรรมสิทธิ์ที่ดินจำนวนเนื้อที่
17.35 ตารางวา ให้แก่ผู้ฟ้องคดีและให้ผู้ฟ้องคดีคืนเงินที่ได้รับจากการเวนคืนที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง
คดีนี้เป็นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นมานานแล้วขณะรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช
2521 มีผลใช้บังคับประกอบกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. 2530 โดยในปัจจุบันนี้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. 2562 ซึ่งออกใช้บังคับและได้มีบทบัญญัติในเรื่องการใช้ประโยชน์ในที่ดินที่ได้จากการเวนคืนและเรื่องการคืนอสังหาริมทรัพย์ให้เจ้าของเดิมหรือทายาทไว้เป็นการเฉพาะแล้ว
ซึ่งระบุให้ที่ดินที่ได้มาโดยการเวนคืนนั้นเจ้าหน้าที่ต้องเริ่มดำเนินการตามวัตถุที่ประสงค์ในการเวนคืนไม่ช้ากว่าห้าปีนับแต่วันพ้นกำหนดระยะเวลาการใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินในเรื่องนั้นๆ
หรือภายในระยะเวลาที่กำหนดในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ แล้วแต่กรณี
หากไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนภายในระยะเวลา
หรือเหลือจากการใช้ประโยชน์ ให้เจ้าของเดิมหรือทายาทมีสิทธิขอคืนที่ดินนั้นได้
ซึ่งการขอคืนที่ดินดังกล่าว
เจ้าของเดิมหรือทายาทต้องยื่นคำร้องขอคืนต่อเจ้าหน้าที่ภายในสามปีนับแต่วันพ้นกำหนดเวลาตามมาตรา
51 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
แต่ในกรณีที่หากว่าที่ดินที่เวนคืนไปนั้นได้ใช้ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนแล้ว
ปรากฏว่าในภายหลังหมดความจำเป็นในการใช้ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว
หรือเมื่อพ้นระยะเวลาที่จะขอคืนตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว กรณีนี้เจ้าของเดิมหรือทายาทจะไม่มีสิทธิขอคืน
ดังนั้น ปัจจุบันนี้การขอคืนที่ดินที่ถูกเวนคืน
จึงต้องบังคับตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. 2562
ปรึกษากฎหมายโทร 080-9193691 , 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
สาขาเชียงใหม่ โทร 080-3955536 แอดไลน์ @closelawyercmi หรือ คลิก https://lin.ee/Zu2JmNU
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments