เล่นท่ายาก ไม่ผิดข่มขืน
ณ เวลานี้ 6 โมงเย็น
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ผมนั่งดื่มเบียร์ชิวๆ อ่านข้อกฎหมาย
พร้อมกับฟังเสียงฝนที่ตกปรอยปรายอยู่บนท้องฟ้า
อ่านไปอ่านมาก็เจอคำพิพากษาฎีกาหนึ่งน่าสนใจมาก
ผมจึงไม่ชักช้าที่จะนำมาเผยแพร่ให้เพื่อนๆที่ติดตามเพจทนายใกล้ตัวได้อ่านกันนะครับ
ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า
ชายหญิงคู่หนึ่งคบหากันตามประสาวันรุ่น ชายอายุ 20 ปี หญิงอายุ 26 ปี วันหนึ่ง
ชายนัดหญิงให้ออกไปหา ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ใกล้จากบ้านชายเพียง 30 เมตร
หญิงอาบน้ำเสร็จ ก็ได้ออกไปหาชายตามนัดหมาย
โดยชุดที่ใส่ไปนั้นคือชุดนอน
ครั้นไปถึงทั้งสองคนก็ไม่ชักช้าปฎิบัติการเล้าโลมกันจนทั้งคู่มีอารมณ์ทางเพศ จึงได้โซเดมาคอมกันหรือที่เรียกกันว่าซั่มกันบนหลังเบาะรถมอร์เตอร์ไซด์
ต่อมาเวลาผ่านไป 1 เดือนเศษ หญิงไปแจ้งความดำเนินคดีชายฐานข่มขืนกระทำชำเรา
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกชาย 10 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษายืนให้ยกฟ้อง งงสิครับ !!
ทำไมศาลฎีกาถึงพิพากษายกฟ้อง เหตุผลสั้นๆเลยครับ คือ “เล่นท่ายาก” มาดูเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเลยครับ
ศาลวินิจฉัยได้ดีมากครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
4671/2554
โจทก์ฟ้องว่า
จำเลยข่มขืนกระทำชำเรานางสาว ว. ผู้เสียหาย ซึ่งมิใช่ภริยาตน จนสำเร็จความ
ใคร่ 1 ครั้ง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
276 วรรคหนึ่ง ลงโทษจำคุก 10 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 7 ปี 6
เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค
7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว
เห็นว่า การกระทำชำเราระหว่างจำเลยและผู้เสียหายในคดีนี้เป็นเรื่องที่อยู่ในความรับรู้ของบุคคลเพียง
2 คน เท่านั้น คือ จำเลยและผู้เสียหาย ไม่มีบุคคลอื่นรู้เห็น
การรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายซึ่งกล่าวหาว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย
ไม่ใช่การร่วมเพศกันโดยสมัครใจจึงต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวัง
โดยต้องพิเคราะห์ถึงข้อเท็จจริงทั้งก่อนกระทำ ขณะกระทำและหลังกระทำประกอบกัน
นอกเหนือจากประเด็นเรื่องเกียรติยศและศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงซึ่งเป็นเรื่องหลักการโดยทั่วไป
ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายเป็นหญิงสาว อายุ 26 ปี
มีความเป็นผู้ใหญ่กว่าจำเลยซึ่งเป็นชายหนุ่มอายุเพียง 20 ปี ขณะที่ผู้เสียหายไปพบจำเลยตามที่จำเลยนัดไป
ผู้เสียหายสวมชุดนอนเสื้อยกทรง กางเกงชั้นในและกางเกงขาสั้นผ้ายืดยาวเลยเข่า
และพบกันที่สนามบาสเกตบอลซึ่งมีต้นไม้ขึ้นอยู่โดยรอบในยามวิกาล เวลา 20 นาฬิกา
อันแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดลึกซึ้งของผู้เสียหายกับจำเลย
เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับลักษณะที่ผู้เสียหายอ้างว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำ
เราผู้เสียหาย ซึ่งปรากฏว่าผู้เสียหายนอนหงายหลังพิงเบาะรถจักรยานยนต์
ศีรษะหันไปทางท้ายรถ
เท้าสองข้างงอเหยียบข้างรถซึ่งจอดอยู่ข้างอาคารโดยยกขาตั้งคู่ขึ้น
อันเป็นลักษณะท่าทางพิเศษยากแก่การที่จะข่มขืนกระทำชำเรา
ทั้งยังได้ความจากผู้เสียหายว่าก่อนกระทำชำเราจำเลยใช้นิ้วมือแหย่อวัยวะเพศของผู้เสียหาย
แสดงให้เห็นถึงการเล้าโลมอารมณ์ทางเพศของผู้เสียหายให้พร้อมในการร่วมเพศ
ส่วนรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายนอนอยู่บนเบาะก็จอดอยู่ข้างอาคาร
มีตัวอาคารบังเพียงด้านเดียว อีก 3 ด้านเปิดโล่งอยู่
ไม่น่าเชื่อว่าการกระทำชำเราของจำเลยจะเป็นการข่มขืนผู้เสียหาย
สถานที่เกิดเหตุอยู่ใกล้บ้านของผู้เสียหายโดยอยู่ห่างกันเพียง 30 เมตร
หากจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจริง
หลังเกิดเหตุผู้เสียหายน่าที่จะรีบไปร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานเพื่อให้ดำเนินคดีแก่จำเลยโดยไม่ชักช้า
ข้ออ้างตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า เหตุที่ผู้เสียหายไม่ไปแจ้งความทันที
เพราะกลัวญาติของจำเลยซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นและเปิดโอกาสให้เจรจาประนีประนอมกัน
ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เพราะในที่สุดผู้เสียหายก็ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่
19 ตุลาคม 2547 อันเป็นเวลาหลังเกิดเหตุนาน 1 เดือนเศษอยู่ดี
โดยไม่มีปัญหาเรื่องความกลัวอิทธิพลในท้องถิ่น ส่วนบันทึกข้อความลงวันที่ 16
ตุลาคม 2547 ก็ปรากฏข้อความแต่เพียงว่าผู้เสียหายถูกจำเลยล่วงละเมิดทางเพศ
(ข่มขืน) ญาติของจำเลยแสดงความรับผิดชอบโดยจ่ายเงินจำนวน 16,400
บาทเป็นค่าทำขวัญให้แก่ผู้เสียหาย ผู้ลงนามว่าเป็นผู้กระทำความผิดคือนาย ว.
ซึ่งเป็นพี่เขยของจำเลยโดยระบุว่าลงนามแทนจำเลยผู้กระทำความผิด
หาใช่จำเลยเป็นผู้ลงนามยอมรับว่ากระทำผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา
ผู้เสียหายไม่ ส่วนบันทึกข้อความตามเอกสารก็ระบุแต่เพียงว่านาง ก.
จ่ายเงินค่าทำขวัญจำนวน 16,400
บาทให้แก่ผู้เสียหายในกรณีที่จำเลยทำให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียชื่อเสียง
หาใช่จำเลยเป็นผู้จ่ายไม่ กรณีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7
พิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน
สรุปคือ ศาลไม่เชื่อว่า มีการข่มขืนกันจริง เพราะท่าทางที่มีเพศสัมพันธ์กันนั้น
มันเป็น “ท่ายาก” ยากแก่การที่จะข่มขืนกระทำชำเรา !!
ปรึกษากฎหมายโทร
080-9193691
, 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ
คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments