เหตุรอการลงโทษคดีอาญานั้นเป็นดุลพินิจของศาล แม้เป็นคดีหมิ่นประมาทกระทำผิดครั้งแรกและจ่ายค่าเสียหายก็อาจเข้าคุกได้
เหตุรอการลงโทษคดีอาญานั้นเป็นดุลพินิจของศาล
แม้เป็นคดีหมิ่นประมาทกระทำผิดครั้งแรกและจ่ายค่าเสียหายก็อาจเข้าคุกได้
บทความนี้เรามาพูดถึงเรื่องเหตุการณ์รอการลงโทษทางคดีอาญากันนะครับว่าหากความผิดที่กฎหมายบัญญัติหรือลงโทษไม่เกิน
5 ปีนั้น
เหตุไหนที่ศาลจะพิจารณาพิพากษารอการลงโทษก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะเมตตาและเห็นสมควรให้มีการรอลงโทษหรือไม่
พฤติการณ์นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งผมขอพูดปัจจัยหนึ่งแล้วกันครับว่า
หากมีการสำนึกผิดจากผู้กระทำความผิด
เจตนาที่จะเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับเสียหายหรือถูกกระทำ
หรือพฤติการณ์อื่นใดที่แสดงถึงว่าเราได้สำนึกผิดกลับตัวกลับใจ
ต่อการกระทำของเราแล้ว เช่น จ่ายค่าเยียวยาผู้เสียหาย ไปเยี่ยมเยียนแสดงความจริงใจ
บำเพ็ญประโยชน์ จิตอาสาช่วยเหลือสังคม เป็นต้น ก็อาจจะเป็นเหตุให้ศาลเห็นใจเมตตา
รอการลงโทษได้
แต่หากจำเลยมีท่าทางที่ไม่เกิดความสำนึก
ไม่เห็นใจผู้เสียหายหรือไม่สนใจว่าผู้เสียหายจะเป็นยังไง
หากสุดท้ายแล้วศาลตัดสินว่ามีความผิดจริงก็ไม่มีเหตุให้ศาลต้องเมตตา
หรือกรณีที่มีโทษจำคุกหรือรวมกันแล้วเกิน 5 ปี
ตามกฎหมายแล้วไม่สามารถที่จะรอการลงโทษได้และเหตุอื่นๆ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
56
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคดีที่มีโทษน้อยหรือจำคุกไม่เกิน
5 ปีนั้น ไม่ว่าความผิดใดศาลก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินให้รับโทษจำคุกได้ตามดุลพินิจของศาล
อ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 626/2563
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า
จำเลยกระทำความผิดโดยการใส่ความโจทก์ร่วมต่อบุคคลที่สามด้วยการโฆษณาลงในระบบคอมพิวเตอร์
โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง
เป็นการกระทำที่ไม่คำนึกถึงความเสียหายที่โจทก์ร่วมจะได้รับ
อาจทำให้บุคคลอื่นเข้าใจผิดว่า โจทก์ร่วมและบุตรสาวเป็นคนไม่ดี
ขายบริการทางเพศซึ่งไม่เป็นความจริง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องที่ร้ายแรง
แม้จะปรากฏว่าจำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน หรือได้ชดใช้ค่าเสียหายแก้โจทก์ร่วมไปบ้างแล้ว
หรือมีเหตุอื่นดังที่จำเลยอ้างในฎีกา
ก็ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทรณ์ภาค 1
ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุก
โดยให้เปลี่ยนโทษเป็นกักขังจำเลยนั้นเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่คดีแล้ว
ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
แต่โทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดมานั้น หนักเกินไป
เห็นสมควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสมแก่คดี
พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุก 2
เดือน ลดโทษกึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 1 เดือน
เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนมีกำหนด 1 เดือน
นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
มาตรา 56 ผู้ใดกระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุกหรือปรับ
และในคดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปีไม่ว่าจะลงโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตามหรือลงโทษปรับ
ถ้าปรากฏว่าผู้นั้น
(1)
ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน หรือ
(2)
เคยรับโทษจำคุกมาก่อนแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท
หรือความผิดลหุโทษ หรือเป็นโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือ
(3)
เคยรับโทษจำคุกมาก่อนแต่พ้นโทษจำคุกมาแล้วเกินกว่าห้าปี
แล้วมากระทำความผิดอีก
โดยความผิดในครั้งหลังเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
และเมื่อศาลได้คำนึงถึงอายุ ประวัติ
ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ
และสิ่งแวดล้อมของผู้นั้น หรือสภาพความผิด หรือการรู้สึกความผิด
และพยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น หรือเหตุอื่นอันควรปรานีแล้ว
ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้นมีความผิดแต่รอการกำหนดโทษหรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้
ไม่ว่าจะเป็นโทษจำคุกหรือปรับอย่างหนึ่งอย่างใดหรือทั้งสองอย่าง
เพื่อให้โอกาสกลับตัวภายในระยะเวลาที่ศาลจะได้กำหนดแต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่ศาลพิพากษา
โดยจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้นั้นด้วยหรือไม่ก็ได้
ปรึกษากฎหมายโทร
080-9193691
, 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ
คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments