3 วิธียอดนิยม ในการกู้ยืมเงินกันโดยใช้ที่ดินหรือโฉนดที่ดินเป็นหลักประกัน
เมื่อสภาพเศรษฐกิจบ้านเมืองปัจจุบันซบเซาลง
หลายคนคงประปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการกู้หนี้ยืมสิน
ซึ่งวันนี้ผมจะมาพูดถึงการกู้ยืมเงินกันโดยใช้ที่ดินเป็นหลักประกันนั้น
โดยทั่วไปมักนิยมทำกัน มี 3 วิธี คือ
1. การขายฝาก ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ผู้ให้กู้ได้เปรียบที่สุด
เพราะกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะตกเป็นของผู้ให้กู้ (ผู้รับซื้อฝาก) ทันที
ผู้กู้(ผู้ขายฝาก) มีสิทธิเพียงมาไถ่ถอนทรัพย์สินคืนภายในกำหนดเท่านั้น
ถ้าไม่ไถ่ถอนคืนภายในกำหนดก็หมดสิทธิในที่ดิน ที่ดินย่อมกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้กู้อย่างเด็ดขาด
แต่อย่างไรก็ดีวิธีการนี้จะต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กรมที่ดินเป็นจำนวนมากกว่าวิธีอื่น
2. การจำนอง วิธีนี้ก็เป็นอีกวิธีที่นิยมกัน
โดยการจำนองนั้นกรรมสิทธิ์ในที่ดินยังคงอยู่ที่ผู้กู้ (ผู้จำนอง) โดยผู้ให้กู้
(ผู้รับจำนอง) จะมีที่ดินเป็นหลักประกันให้อุ่นใจ หากผู้กู้ยืมผิดนัด
ผู้ให้กู้ก็มีสิทธิฟ้องบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินที่จำนองได้
อีกทั้งผู้จำนองยังมีฐานะเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิในที่ดินที่จำนอง
มีสิทธิเหนือเจ้าหนี้คนอื่นๆในที่ดินแปลงที่ผู้กู้จำนองไว้ แต่วิธีการนี้ก็มีข้อเสียก็คือต้องเสียเวลาในการยื่นฟ้องคดีเป็นเวลานานกว่าจะบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินที่จำนองได้
3.
การกู้ยืมเงินโดยผู้กู้ส่งมอบโฉนดที่ดินให้ผู้ให้กู้ยึดถือไว้ โดยวิธีการนี้เป็นวิธีการแบบที่ชาวบ้านนิยมทำ
ซึ่งกฎหมายมิได้เขียนรองรับไว้ โดยข้อเสียของวิธีการนี้มีหลายประการเช่น
ผู้กู้สามารถไปแจ้งว่าโฉนดที่ดินหายแล้วก็ไปขอออกโฉนดใหม่ต่อกรมที่ดิน
จากนั้นก็ไปนำโฉนดฉบับใหม่ไปขาย โดยที่ผู้ให้กู้ไม่มีโอกาสรู้ และหากผู้กู้ผิดนัด ผู้ให้กู้ก็จะต้องฟ้องคดีซึ่งจะต้องใช้เวลานาน
และในการส่งมอบโฉนดที่ดินเช่นนี้ผู้ให้กู้จะไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิเหนือที่ดินเหมือนเจ้าหนี้จำนอง
คงมีสิทธิเท่าๆกับเจ้าหนี้คนอื่นๆเท่านั้น อีกทั้ง
เจ้าหนี้คนอื่นๆของลูกหนี้อาจมายึดไปชำระหนี้ได้
โดยผู้ให้กู้ไม่มีสิทธิมาโต้แย้งคัดค้าน
เพียงแต่จะมีสิทธิยึดหน่วงโฉนดที่ดินไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้เท่านั้น
ทั้งนี้
การกู้ยืมเงินกันในระดับชาวบ้านหรือนายทุนท้องถิ่นส่วนใหญ่
ไม่นิยมไปจดทะเบียนจากขายฝากหรือจำนองที่กรมที่ดินกันสักเท่าไหร่ เพราะสาเหตุหลายประการ เช่น
เห็นว่าจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเป็นเงินจำนวนไม่น้อย บางครั้งเป็นการกู้กันในระยะสั้น
จึงไม่อยากจะจดทะเบียนให้เสียเงินค่าธรรมเนียม
หรือเป็นการกู้ยืมเงินระหว่างเพื่อนฝูงญาติมิตร
จึงไม่อยากไปจดทะเบียนจำนองหรือขายฝากกันที่กรมที่ดินให้เสียเวลา
เพราะมีความไว้วางใจกัน
ดังนั้นวิธีการกู้ยืมเงินโดยการส่งมอบโฉนดที่ดินให้แก่กันไว้ จึงเป็นที่นิยมกันมาก
แต่เนื่องจากการกู้ยืมเงินด้วยการส่งมอบโฉนดที่ดินให้แก่กันไว้
มีช่องโหว่ที่ผู้กู้อาจไปขอออกโฉนดใหม่ได้ข้างต้น
และการติดตามทวงหนี้สินก็ต้องทำการฟ้องร้องคดีต่อศาล
ซึ่งจะต้องใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายจำนวนไม่น้อย
และเจ้าหนี้อื่นๆอาจมายึดที่ดินไปเสียก่อนผู้ให้กู้ได้
ดังนั้นบรรดานายทุนเงินกู้จึงได้คิดวิธีการแบบใหม่ขึ้นมา
โดยนอกจากจะให้ผู้กู้ส่งมอบโฉนดที่ดินให้แก่ตนเองแล้ว
ยังให้ผู้กู้ทำหนังสือมอบอำนาจขายที่ดินให้แก่ตัวเองด้วยเสียเลย
โดยมีข้อตกลงว่าหากผู้กู้ผิดนัด ผู้ให้กู้ก็เอาหนังสือมอบอำนาจไปโอนที่ดินเป็นของตนเองทันที
ซึ่งวิธีการดังกล่าวนั้นมีประโยชน์มากกับผู้ให้กู้
เพราะค่าธรรมเนียมจดทะเบียนต่อกรมที่ดินก็ไม่ต้องเสีย
ไม่ต้องฟ้องบังคับคดีให้ยุ่งยาก ถึงกำหนดเวลาผู้กู้ไม่จ่ายก็โอนที่ดินเป็นของตนเองเลย
แต่ตามกฎหมายแล้ว วิธีดังกล่าวไม่อาจใช้ได้
เพราะขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 656 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า “ ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินกันและผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือ
ทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมไซร้ หนี้อันระงับไป
เพราะการชำระเช่นนั้นท่านให้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาท้องตลาด แห่งสิ่งของ
หรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ “ซึ่งตามวรรคสาม
ของมาตรา 656 ได้บัญญัติไว้ด้วยว่า "ความตกลงกันอย่างใด ๆ
ขัดกับข้อความดั่งกล่าวมานี้ท่านว่าเป็นโมฆะ"
ซึ่งหมายความว่า ในการชำระหนี้เงินกู้นั้น
หากผู้กู้ไม่ชำระหนี้เงินกู้ด้วยเงิน แต่ขอชำระหนี้ด้วยทรัพย์สินแทน
หากผู้ให้กู้ยอมรับทรัพย์สินที่ผู้กู้ส่งมอบนั้นแล้ว
ทั้งสองฝ่ายจะต้องตีราคาทรัพย์สินที่ผู้กู้ใช้ชำระหนี้ตามราคาท้องตลาด ณ.
เวลาและสถานที่ ที่ทำการส่งมอบทรัพย์สิน โดยทรัพย์สินนั้นมีมูลค่าเป็นเงินเท่าใด
ก็จะถือว่าผู้กู้ชำระเงินให้แก่ผู้ให้กู้เท่านั้น
หากทรัพย์สินนั้นมีราคาน้อยกว่าหนี้เงินกู้
ผู้กู้ก็ยังคงเป็นหนี้ผู้ให้กู้อยู่เท่าส่วนต่างที่ยังขาดอยู่
แต่หากทรัพย์สินนั้นมีราคามากกว่าหนี้เงินกู้
ผู้ให้กู้ก็ต้องชำระเงินส่วนต่างคืนให้แก่ผู้กู้ คู่สัญญาจะทำการตกลงกันเองว่า
ให้โอนทรัพย์สินแทนการชำระหนี้เงินกู้ทั้งหมด
โดยไม่ต้องตีราคาทรัพย์สินตามราคาท้องตลาด ณ. เวลาและสถานที่
ที่ทำการส่งมอบทรัพย์สินมิได้ ทั้งนี้เหตุผลที่กฎหมายกำหนดไว้เช่นนี้
ก็เพื่อป้องกันมิให้ผู้กู้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ให้กู้ และเพื่อมิให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกันเพราะเหตุแห่งความเคลื่อนไหวของราคาทรัพย์สินที่ส่งมอบแทนเงิน
ตัวอย่างเช่น นาย เอ. เป็นหนี้เงินกู้ นาย บี. อยู่
หนึ่งล้านบาท ต่อมานาย เอ. ส่งมอบที่ดินแปลงหนึ่ง
ให้ผู้กู้เพื่อเป็นการชำระหนี้ และนาย บี.ยอมรับที่ดินแปลงนั้นไว้ เช่นนี้ นาย เอ.
และนาย บี. จะตกลงกันว่า หนี้เงินกู้ทั้งหมดจำนวนหนึ่งล้านบาทระงับไปเลยเมื่อนาย
เอ. โอนที่ดินให้นาย บี. ไม่ได้ แต่ นาย เอ.และนาย บี.
จะต้องตีราคาที่ดินแปลงนั้นเท่ากับราคาท้องตลาด ณ
วันที่ทำการโอนที่ดินและสถานที่ที่ทำการโอนที่ดิน และหากว่าราคาที่ดินแปลงนั้นมีราคา
เจ็ดแสนบาท หนี้เงินกู้ก็จะระงับไปเพียงเจ็ดแสนบาท นาย เอ. ก็ยังคงเป็นหนี้นาย บี.
อยู่เป็นจำนวน สามแสนบาท ยกเว้นแต่นาย บี.จะตกลงว่าให้ถือว่าหนี้เป็นระงับไปเลย
นาย เอ.ไม่ต้องชำระหนี้ส่วนที่เหลือ
หนี้ทั้งหมดย่อมระงับไปเพราะถือเป็นการแสดงเจตนาปลดหนี้ส่วนที่เหลือตามกฎหมายลักษณะหนี้มาตรา
340 แต่หากว่า ที่ดินแปลงนั้นมีราคาหนึ่งล้านห้าแสนบาท
นาย บี.ก็จะต้องคืนเงินส่วนต่างให้นาย เอ. จำนวน ห้าแสนบาท
ดังนั้น หากผู้กู้นำโฉนดที่ดินพร้อมหนังสือมอบอำนาจมาส่งมอบให้ผู้กู้
โดยมีข้อตกลงว่าหากผู้กู้ผิดนัด
ยินยอมให้ผู้ให้กู้โอนที่ดินให้เป็นของผู้ให้กู้ได้ทันที
โดยไม่คำนึงถึงราคาที่ดินพิพาทว่าจะเท่ากับราคาท้องตลาดในเวลาและ ณ
สถานที่ส่งมอบคือเวลาจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์หรือไม่ จึงขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 656 วรรคสอง และย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 656 วรรคสาม
ผู้ให้กู้ไม่มีสิทธินำหนังสือมอบอำนาจไปดำเนินการโอนที่ดินเป็นของตนเอง
และหากผู้ให้กู้จัดการโอนที่ดินไปเป็นของตนเองแล้ว
ผู้กู้ก็มีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินได้ ( คำพิพากษาศาลฎีกาที่
. 142/2550, 17099/2555 )
ปรึกษากฎหมายโทร
080-9193691
, 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ
คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
คือว่าแม่หนูไปกู้เงินจากนายทุนเอาโฉนดที่ดินไปค้ำประกันไว้แต่ต่อมาแม่ได้ไปยืมโฉนดมาเพื่อที่จะกู้เงินทางธนาคารทำเรื่องจำนองเสร็จทางธนาคารก้อบอกว่าเงินไม่ได้โฉนดก้อไม่ได้คืนเพราะแม่เป็นไว้อยู่โฉนดเก่าราคาตกลงเรยทำให้หลักทรัพย์ไม่พอที่จะกู้ แม่ก้อขอโฉนดคืนแต่ก้อไม่ได้เพราะทำเรื่องจำนองไว้เเล้ว เรยเอาออกไม่ได้ เเต่ตอนนี้นายทุนคนนั้นจะมาเอาเรื่องกับแม่หนูหาว่าแม่ยักยอกทรัพหนูกับแม่จะทำไงดีคร่ช่วยตอบหน่อยคร่