การครอบครองปรปักษ์นั้นทำได้แต่ของบุคคลอื่นไม่อาจครอบครองปรปักษ์ที่ดินของตนเองได้
กรณีที่จะครอบครองปรปักษ์ได้นั้นต้องเป็นการครอบครองที่ดินอันมีโฉนดของบุคคลอื่น
โดยสงบและเปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของ แต่ไม่อาจครอบครองที่ดินของตนเองได้เช่น
ที่ดินของบิดามารดา แม้จะอยู่มาเกิน 10 ปี ก็ไม่อาจได้การครอบครองโดยปรปักษ์
ซึ่งการครอบครองปรปักษ์นั้นจะทำได้ต่อเมื่อครอบครองในกรรมสิทธิ์ที่ดินประเภท
นส.4 คือโฉนดที่ดินเท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382
อ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2743/2525
เมื่อในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเรื่องคดีโจทก์ขาดอายุความไว้
และโจทก์ก็มิได้โต้แย้งคัดค้านนั้นปัญหาที่ว่าคำให้การจำเลยในเรื่องอายุความได้แสดงเหตุผลไว้โดยชัดแจ้งหรือไม่จึงไม่มีประเด็นในชั้นศาลอุทธรณ์
ทั้งปัญหานี้ไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษายกอุทธรณ์จำเลยจึงไม่ชอบ
คดียังคงมีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยต่อไปในเรื่องอายุความ
แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็วินิจฉัยประเด็นข้อนี้ไปได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนคืนให้ศาลอุทธรณ์พิพากษา
การที่จำเลยต่อสู้คดีว่าที่พิพาทเป็นของมารดาจำเลยและจำเลยครอบครองแทนเกินกว่า
10
ปี จนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 แล้วนั้น เห็นได้ว่าจำเลยหรือมารดาจำเลยย่อมจะครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของตนเองไม่ได้
กรณีจึงไม่ใช่เรื่องขาดอายุความ
มาตรา 1382 บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ
ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้
ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
ปรึกษากฎหมายโทร
080-9193691
, 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ
คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments