ตัดฟันต้นยางพาราในที่ดินที่ผู้อื่น โดยเข้าใจว่าที่ดินเป็นของตน จะเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์หรือไม่
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 145
วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า
“ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่”
และมาตรา 144
วรรคสอง บัญญัติว่า
“เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น”
“ส่วนควบ”
หมายถึง ส่วนที่โดยสภาพของทรัพย์ เป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น
และไม่อาจแบ่งแยกจากกันได้นอกจากจะทำลาย หรือทำบุบสลาย
หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรง
ดังนั้น เจ้าของที่ดินย่อมมีกรรมสิทธิ์ในต้นยางพารา กล่าวคือ ต้นยางพาราที่ปลูกในที่ดินของผู้อื่นตกเป็นของเจ้าของที่ดิน
ไม่ใช่เจ้าของต้นยางพารา
การที่เข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินเป็นของตนเอง จึงเป็นเรื่องที่สำคัญผิดในข้อเท็จจริง ซึ่งหากเข้าใจว่าเป็นเจ้าของที่ดินจริง
ก็ย่อมมีสิทธิที่จะทำให้เสียหาย หรือทำลายต้นยางพารา โดยไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358
แม้รู้ว่าบุคคลอื่นเป็นผู้ปลูกต้นยางพารา
และปรากฏภายหลังว่าตนเองไม่ใช่เจ้าของที่ดิน ก็ไม่มีความผิด!!
คำพิพากษาฎีกาที่ 1423/2557
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 145 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า
“ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่” และมาตรา 144 วรรคสอง บัญญัติว่า
“เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น” ดังนั้น
เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในต้นยางพาราซึ่งเป็นไม้ยืนต้นที่ปลูกในที่ดินพิพาท
ตามคำฟ้องเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายปลูกต้นยางพาราในที่ดินพิพาทจึงต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งมาตรา
1310 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 1314
วรรคหนึ่ง
ซึ่งบัญญัติไว้เช่นเดียวกับบทบัญญัติมาตรา 145 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 144
วรรคสอง
กล่าวคือ
ต้นยางพาราที่ปลูกในที่ดินพิพาทตกเป็นของเจ้าของที่ดินพิพาท มิใช่เจ้าของต้นยางพารา
ส่วนเจ้าของที่ดินจะต้องใช้ค่าแห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้นแก่เจ้าของต้นยางพาราหรือไม่นั้น
เป็นเรื่องที่ต้องไปเรียกร้องกันในทางแพ่งอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่า จำเลยทั้งสองเข้าใจโดยสุจริตว่าที่ดินพิพาทเป็นของตน กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองสำคัญผิดในข้อเท็จจริง
ซึ่งหากฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจริง จำเลยทั้งสองก็ย่อมมีสิทธิที่จะทำให้เสียหาย หรือทำลายต้นยางพาราซึ่งตกเป็นกรรมสิทธิ์ของตนแล้วได้โดยไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม
ป.อ.มาตรา 358
แม้จำเลยทั้งสองรู้ว่าผู้เสียหายเป็นผู้ปลูกต้นยางพาราและปรากฏภายหลังว่าจำเลยทั้งสองมิใช่เจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองก็ไม่มีความผิด ทั้งนี้
ตาม ป.อ.มาตรา 62
มาตรา 358 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย
ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์
ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 62
วรรคแรก ข้อเท็จจริงใด
ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ
หรือได้รับโทษน้อยลง แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง
แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด หรือได้รับยกเว้นโทษ
หรือได้รับโทษน้อยลง แล้วแต่กรณี
ปรึกษากฎหมายโทร
080-9193691
, 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ
คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments