เด็กโทรมาขอร้องให้พาไปเที่ยวต่างจังหวัดแม้เด็กสมัครใจเอง ก็เป็นการพรากผู้เยาว์
เด็กโทรมาขอร้องให้พาไปเที่ยวต่างจังหวัดแม้เด็กสมัครใจเอง
ก็เป็นการพรากผู้เยาว์
คดีความผิดฐานพรากผู้เยาว์นั้นเกิดขึ้นได้มากมายหลายกรณี
วันนี้เราจะมาพูดถึงกรณีหนึ่งที่แม้เด็กจะยินยอมก็เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์อยู่
หากพูดถึงเรื่องนี้เป็นเรื่องของการตัดกรรมสิทธิ์การปกครองของผู้ปกครอง
หากไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองย่อมเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์
ตัวอย่าง นายสดใสอายุ 21 ปี
รักใครอยู่กับนางสาวจำปามาก อายุ 16
ทั้งสองรักใคร่กันมากและได้แอบไปมาหาสู่กันบ่อยๆ
โดยได้รับความเห็นชอบจากบิดาและมารดา แต่มีข้อแม้ห้ามมิให้ออกจากบอกหากพ้นเวลา
20.00 น. ในวันเกิดเหตุ นางสาวจำปาคิดถึงนายสดใสคิดถึงมากอยากให้พาไปเที่ยวงานประจำจังหวัด
และได้มาขออนุญาตจากพ่อและแม่ในเวลา 22.00 น.
แต่พ่อและแม่ไม่อนุญาตให้ไปจึงได้โทรหานายสดใสเพื่อที่จะให้มารับตนไปเที่ยวงานประจำจังหวัดจึงได้ปีนออกรั้วไปและกลับมาเวลาเกือบรุ่งเช้า
พ่อและแม่เกิดรู้เข้าจึงไม่พอใจเป็นอย่างมากได้เดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับนายสดใสข้อหาพรากผู้เยาว์
ดังนั้นการที่พ่อและแม่ของนางสาวจำปาซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครอง
ถูกนายสดใสตัดสิทธิ์การปกครองไปจากพ่อและแม่ในฐานะผู้ปกครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงถือว่านายสดใสได้พรากนางจำปาไปจากพ่อและแม่เป็นความผิดสำเร็จแล้ว
แม้การกระทำดังกล่าวจะเป็นการร้องขอให้นายสดใสมารับเพื่อให้ตนได้ออกไปเที่ยวก็ตามแต่เป็นการละเมิดสิทธิปกครองของพ่อและแม่
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317
อ้างถึงคำพิพากษาฎีกาที่ 764/2556 ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตาม ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 317 ถึง มาตรา 319 กฎหมายมุ่งคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล
มิใช่ตัวผู้เยาว์ผู้ถูกพรากเพื่อมิให้ผู้ใดมาก่อการรบกวนหรือกระทำการใดๆ
กระทบกระทั่งต่ออำนาจปกครองไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยปริยาย
นอกจากนี้กฎหมายมิได้จำกัดว่าพรากโดยวิธีการใด และไม่ว่าผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายออกจากบ้านไปเองหรือโดยมีผู้ชักนำก็ย่อมเป็นความผิดทั้งสิ้น
การที่ผู้เยาว์เป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหาจำเลยจำเลยมาพบแล้วพาผู้เยาว์ไปอยู่กับจำเลยที่บ้านเช่าที่อยู่กรุงเทพมหานครและพาผู้เยาว์ไปอยู่กับจำเลยที่จังหวัดระยอง
ระหว่างอยู่ด้วยกันจำเลยร่วมประเวณีกับผู้เยาว์โดยมิได้รับอนุญาตหรือความยินยอมจากโจทก์ร่วมทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดาผู้เยาว์
แม้ผู้เยาว์จะสมัครใจร่วมประเวณีกับจำเลยก็ย่อมทำให้อำนาจปกครองดูแลบุตรผู้เยาว์ถูกพรากจากไปโดยปริยาย
เมื่อจำเลยพาผู้เยาว์ไปอยู่กินกับจำเลย จำเลยก็มิได้พาผู้เยาว์ไปพบบิดามารดา หรือญาติผู้ใหญ่ของจำเลยเพื่อแจ้งให้ทราบว่าผู้เยาว์เป็นภริยาของตน
ประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภริยา
ทั้งเมื่อจำเลยทราบว่าผู้เยาว์ตั้งครรภ์ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พาอยู่เยาว์ไปฝากครรภ์
และเมื่อโจทก์ร่วมทั้งสองพาผู้เยาว์กลับมาบ้าน
จำเลยก็มิได้นำญาติผู้ใหญ่ฝ่ายจำเลยมาติดต่อสู่ขอผู้เยาว์และจัดงานแต่งงานกับผู้เยาว์ตามประเพณี
ทั้งที่ทราบว่าผู้เยาว์กำลังมีบุตรกับจำเลยจนโจทก์ร่วมที่ 2 ต้องพาผู้เยาว์ไปทำแท้ง
แสดงให้เห็นว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะอยู่กินกับผู้เยาว์ฉันสามีภริยาจริง
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคแรก
มาตรา 317
"ผู้ใดโดยปราศจากเหตุอันสมควร
พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสามหมื่นบาท
ผู้ใดโดยทุจริต ซื้อ
จำหน่าย หรือรับตัวเด็กซึ่งถูกพรากตามวรรคแรก ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้พรากนั้น
ถ้าความผิดตามมาตรานี้ได้กระทำเพื่อหากำไร
หรือเพื่อการอนาจาร ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท"
ปรึกษากฎหมายโทร 080-9193691 , 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments