ขายทรัพย์สินของบุตรผู้เยาว์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากศาล “เป็นโมฆะ”
ปัจจุบันเป็นเรื่องปกติที่เด็กผู้เยาว์จะมีทรัพย์สินหลายแสน
หลายล้านบาท ไม่ว่าจะได้รับมาจากมรดกหรือจากการให้โดยเสน่หาหรือจากไหนก็ตาม
ผู้ปกครองเด็กผู้เยาว์จะทำการยักย้ายถ่ายโอน หรือขายเปลี่ยนกรรมสิทธิ์ไปยังบุคคลอื่นต้องร้องขออนุญาตต่อศาลก่อน
ในการทำนิติกรรมนั้นๆ ไม่เช่นนั้นจะถือเป็นโมฆะ
ตัวอย่างคือ เด็กชายเอ
อายุ 13 ปี เป็นเจ้าของที่ดินราคาซื้อขายอยู่ที่ 5,000,000 บาท ซึ่งได้รับมรดกมาจากแม่ได้เสียชีวิตไปก่อนแล้ว มีนายบีเป็นพ่อและในฐานะผู้ปกครอง
ต่อมาได้มีคนติดต่อซื้อขายที่ดินดังกล่าว
โดยนายบีก็ต้องการขายที่ดินนั้นเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายเลี้ยงดูเด็กชายเอก็ตาม
ไม่สามารถกระทำได้เนื่องจากต้องได้รับการอนุญาตจากศาลในการทำนิติกรรมดังกล่าวก่อน
เป็นการใช้อำนาจปกครองโดยละเมิด ไม่ทำการร้องต่อศาลเพื่อขออนุญาตขายที่ดินดังกล่าว
แต่การจะอนุญาตหรือไม่นั้น เป็นดุลพินิจของศาล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา
1574(1)
อ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกา
3169/2524 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 เดิม
ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่มีการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินรายพิพาท
การขายที่ดินหรือการทำสัญญาจะขายที่ดินของผู้เยาว์
เป็นนิติกรรมอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ซึ่งผู้แทนโดยชอบธรรมจะทำแทนผู้เยาว์มิได้
เว้นแต่ศาลจะอนุญาต หากฝ่าฝืนกระทำนิติกรรมย่อมไม่สมบูรณ์
หากผู้แทนโดยชอบธรรมทำสัญญาจะขายที่ดินของผู้เยาว์โดยมีเจตนาจะยื่นคำร้องขออนุญาตต่อศาลในภายหลัง
ก็จะต้องระบุเงื่อนไขไว้ในสัญญาว่าจะไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินนั้นต่อเมื่อศาลอนุญาตแล้ว
ซึ่งเป็นการกำหนดให้นิติกรรมเป็นผลต่อเมื่อเงื่อนไขสำเร็จ แต่ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินรายพิพาทที่นางมะลิ
ยีสมัน ทำกับโจทก์หาได้มีการกำหนดเงื่อนไขเช่นที่ว่ามานี้ไว้แต่อย่างใดไม่
แสดงให้เห็นว่าคู่สัญญามิได้มีเจตนาที่จะขออนุญาตต่อศาล
อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว
นิติกรรมสัญญาจะซื้อขายที่ดินรายพิพาทจึงไม่สมบูรณ์ผูกพันจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้เยาว์
แม้ต่อมานางมะลิ ยีสมัน
จะได้ยื่นคำร้องต่อศาลขออนุญาตทำนิติกรรมขายที่ดินรายพิพาทแทนจำเลยทั้งสี่
และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ขายได้
ก็มิใช่เป็นการปฏิบัติตามเงื่อนไขซึ่งกำหนดไว้ในสัญญา
การที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตในภายหลัง หาทำให้นิติกรรมซึ่งไม่สมบูรณ์อยู่ก่อนแล้วกลับสมบูรณ์ขึ้นได้ไม่
ดังนั้น สัญญาจะซื้อขายที่ดินรายพิพาทซึ่งนางมะลิ ยีสมัน
ทำไว้กับโจทก์จึงไม่มีผลผูกพันจำเลยทั้งสี่
โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสี่โอนขายที่ดินไม่ได้
คดีไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นต่อไปที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ไปทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนขายที่ดินรายพิพาทให้แก่โจทก์นั้น
ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังขึ้น
คำพิพากษีกาที่
แต่หากเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน
แม้ในขณะนั้นเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ตาม โดยกำหนดส่งมอบที่ดินไว้ภายหลังที่ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะแล้วโดยผู้ปกครองเซ็นเป็นพยานในสัญญา
สัญญาดังกล่าวไม่เป็นโมฆะและใช้บังคับกันได้
อ้างถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่
5358/2544 สัญญาพิพาทเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน
มิใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และแม้ขณะทำสัญญาจำเลยจะยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ตามแต่กำหนดระยะเวลาส่งมอบที่ดินไว้ภายหลังจำเลยบรรลุนิติภาวะแล้วโดยมารดาจำเลยลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญา
จึงไม่ตกเป็นโมฆะและใช้บังคับได้
ในสัญญาดังกล่าวแม้กำหนดวันส่งมอบที่ดินไว้แน่นอนในวันที่ 14
มกราคม 2534 แต่เนื่องจากที่ดินตามสัญญาเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่
6792 ซึ่งต้องมีการแบ่งแยกที่ดินก่อนที่จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญา
แต่คู่สัญญาหาได้ตกลงไว้เป็นการแน่นอนในเรื่องดังกล่าวไม่
คงกล่าวไว้เพียงว่าผู้ขายได้ขายส่วนหนึ่งของโฉนดที่ดินเลขที่ 6792 เนื้อที่ดินประมาณ 20 ไร่
ตามผังที่กาเส้นสีแดงเท่านั้นจึงมิใช่กรณีกำหนดชำระหนี้กันไว้แน่นอนแล้ว ดังนั้น
เมื่อโจทก์ยังไม่มารับโอนที่ดินจะถือว่าโจทก์ผิดสัญญาหาได้ไม่
ต่อมาเมื่อโจทก์มีหนังสือเตือนให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา แต่จำเลยไม่ไปตามกำหนด
จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์
หากโอนไม่ได้ก็ต้องคืนเงินค่าที่ดินให้แก่โจทก์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา
1574
“ นิติกรรมใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ดังต่อไปนี้
ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้ เว้นแต่ศาลจะอนุญาต (1) ขาย
แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง
ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้ ”
ปรึกษากฎหมายโทร
080-9193691
, 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ
คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments