เซ็นสัญญากู้ทิ้งไว้ไม่ได้กรอกจำนวนเงินหรือข้อความ เจ้าหนี้มากรอกภายหลัง สัญญากู้ยืมใช้บังคับได้ “ไม่เป็นเอกสารปลอม”
หลายท่านอาจจะเคยเห็นหรือเจอด้วยตนเอง
เวลาไปขอกู้ยืมเงินโดยเจ้าหนี้ให้เซ็นเอกสารทิ้งไว้โดยไม่ได้กรอกข้อความใดๆ
ในสัญญากู้ยืมมีเพียงลายเซ็นผู้กู้เท่านั้น
และภายหลังเจ้าหนี้ได้มากรอกข้อความและจำนวนเงินตามที่ได้ตกลงกันไว้ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
ตัวอย่าง คือวันหนึ่งนายสมหวังได้ไปขอกู้ยืมนายสมคิดจำนวน
200,000
บาท
นายสมคิดจึงได้ให้เงินจำนวนดังกล่าวแก่นายสมหวังและขอให้เซ็นสัญญากู้ยืมเงินทิ้งไว้ซึ่งในสัญญาไม่ได้กรอกข้อความใดๆ
ไว้เลย โดยให้เหตุผลว่าเผื่อวันข้างหน้านางสมหวังอาจจะมากู้ยืมเงินกันอีก
จะได้ทำสัญญากู้ยืมฉบับเดียว ต่อมาเวลาผ่านไปหลายเดือน
นายสมหวังไม่เคยชำระเงินให้แก่นายสมคิดเลย
นายสมคิดจึงกรอกข้อความและจำนวนเงินลงในสัญญา
นำมาฟ้องต่อศาลในข้อหาผิดสัญญากู้ยืมเงิน
กรณีดังกล่าวนายสมหวังจะสู้ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมไม่ได้เนื่องจากนายสมคิดได้กรอกข้อความ
ทุกอย่างตรงตามที่เคยได้ตกลงกันไว้และนายสมหวังก็มิได้เสียหายจากการกระทำดังกล่าว
ย่อมไม่ถือเป็นการปลอมแปลงเอกสารหรือนำออกใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
264 หรือ 268
พิพากษาศาลฎีกาที่ 5932/2538
โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ตามสัญญากู้เอกสารท้ายฟ้องจำนวน
20,200 บาท
จำเลยให้การต่อสู้เรื่องสัญญากู้เป็นเอกสารปลอมเป็นประเด็นสำคัญ
โดยอ้างเหตุว่าที่เป็นเอกสารปลอมเนื่องจากโจทก์ได้แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้ฝ่ายเดียว
แม้จำเลยจะอ้างในคำให้การ ด้วยว่าจำเลยไม่เคยกู้เงินจากโจทก์ตามฟ้องก็ตาม
แต่จำเลยก็หาได้ให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งว่าลายมือชื่อ
ในช่องผู้กู้มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยไม่ทั้งที่เป็นข้อสาระสำคัญ
ที่จำเลยอาจยกขึ้นปฏิเสธในคำให้การได้
จึงเท่ากับจำเลยอ้างเหตุตั้งประเด็นไว้เฉพาะสัญญากู้ตามฟ้องเป็นเอกสารที่ทำปลอมขึ้น
บางส่วนเท่านั้น เมื่อจำเลยมิได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้มิใช่ลายมือชื่อของจำเลยจึงต้องถือว่าจำเลยรับว่าลายมือชื่อในช่องผู้กู้เป็นลายมือชื่อของจำเลย
จำเลยย่อมไม่มีประเด็นที่จะนำสืบว่าลายมือชื่อผู้กู้เป็นลายมือชื่อปลอม
และที่จำเลยนำสืบว่าได้ชำระเงินกู้ตามสัญญาโดยมีการเวนคืนเอกสารแล้วนั้น
จำเลยก็ให้การว่า วันดังกล่าวจำเลยไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์
หาได้ให้การเป็นประเด็นว่ามีการกู้เงินและชำระเงินกู้คืนแล้วไม่
จำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบเช่นเดียวกัน
การที่โจทก์แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้โดยการขีดฆ่าตัวเลขและตัวอักษรจากจำนวน 25,700
บาท เป็นจำนวน20,200 บาท
และลงชื่อกำกับไว้เพื่อให้ตรงกับความเป็นจริงไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่จำเลย
และคดีนี้โจทก์แก้ไขจำนวนเงินที่กู้ให้ลดลงจากเดิม กลับจะเป็นประโยชน์แก่จำเลย
สัญญากู้จึงไม่เป็นเอกสารปลอม
และเป็นเอกสารที่สมบูรณ์รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4582/2543
แม้จำเลยที่ 1 จะทำสำเนาภาพถ่ายสัญญาเช่าเพื่อการลงทุนปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าและโรงแรมขึ้นมาโดยการปกปิดข้อเท็จจริงบางประการไว้
แต่หากไม่ได้ทำให้เนื้อความตามข้อสัญญาต้องเปลี่ยนแปลงไปมีความหมายเป็นอย่างอื่นหรือเพิ่มเติมข้อความใหม่ให้แตกต่างไปแทนที่ข้อเท็จจริงที่ปกปิดไว้แล้วย่อมมีสิทธิที่จะทำได้
การปกปิดข้อเท็จจริงบางอย่างไว้เช่นนั้นจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการตัดทอนข้อความอันจะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
อีกทั้งการกระทำดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดหรือไม่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าว
จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264
เมื่อสำเนาภาพถ่ายสัญญาเช่าเพื่อการลงทุนปลูกสร้างอาคารศูนย์การค้าและโรงแรมดังกล่าวไม่เป็นเอกสารปลอมแล้ว
การที่จำเลยเบิกความในคดีอาญาอ้างถึงสัญญาดังกล่าวจึงไม่อาจถือว่าเป็นการเบิกความเท็จได้
เพราะได้มีการทำสัญญาดังกล่าวกันจริง
ทั้งจำเลยก็เบิกความไปตามที่ระบุไว้ในสัญญานั้น
อีกทั้งศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อความที่ถูกปกปิดมิใช่เป็นข้อสำคัญในคดีที่โจทก์ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทจำเลยที่
1
จึงมิได้หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 177
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 "
ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใดๆ ในเอกสารที่แท้จริง
หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสารต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ใดกรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษหรือวัตถุอื่นใด
ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอม
หรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อื่นนั้น
ถ้าได้กระทำเพื่อนำเอาเอกสารนั้นไปใช้ในกิจการที่อาจเกิดเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน
ให้ถือว่าผู้นั้นปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน "
และมาตรา 268 "
ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา 264
มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา
267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ
ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคแรกเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้น
หรือเป็นผู้แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความนั้นเองให้ลงโทษตามมาตรานี้แต่กระทงเดียว
"
ปรึกษากฎหมายโทร 080-9193691 , 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments