หนี้จากการใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าและบริการต่างๆ หรือหนี้จากการถอนเงินสด มีอายุความ 2 ปี
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ที่มีเงินเดือนประจำ หรือทำธุรกิจต่างๆ
มักจะขอสินเชื่อบัตรเครดิตกับสถาบันการเงินต่างๆ ทั้งนี้
ด้วยความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต หรือด้วยเหตุผลอื่นๆ และบัตรเครดิตนั้นเอง
หากใช้เป็นก็เกิดประโยชน์ กลับกันหากใช้ไม่เป็น ใช้ฟุ่มเฟือย
จะเกิดโทษมหันตภัยเลยล่ะครับ
หลายคนโทรเข้ามาปรึกษาว่าเป็นหนี้บัตรเครดิตทำยังไงดีครับ/ค่ะ ผมตอบให้เลยนะครับ
“ใช้หนี้ตามที่คุณใช้นั่นแหละครับ”
ฉะนั้นจึงให้ตระหนักก่อนที่จะใช้รูดซื้อสินค้าและบริการว่าในภายหลังจะมีเงินเพียงพอชำระหรือไม่
ซึ่งเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคน เช่น พ่อแม่ไม่สบาย เลี้ยงดูลูกคนเดียว
เงินเดือนไม่พอใช้ ขอความเห็นใจอื่นๆมากมาย
สถาบันการเงินไม่นำมาประกอบการติดตามหนี้นะครับ
หนี้จากการใช้บัตรเครดิตไม่ว่าจะเป็นหนี้จากการซื้อสินค้าและบริการต่างๆ
มีอายุความ 2 ปี รวมถึงหนี้จากการถอนเงินสดในบัตรเดียวกันนั้นด้วย
เนื่องจากเป็นหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตด้วยกันจึงมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7) ไม่อาจแยกบังคับนับอายุความแตกต่างกันได้
ตามกฎหมายมาตรา 193/34 สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้
ให้มีกำหนดอายุความ 2 ปี
(7) บุคคลซึ่งมิได้เข้าอยู่ในประเภทที่ระบุไว้ใน
(1) แต่เป็นผู้
ประกอบธุรกิจในการดูแลกิจการของผู้อื่นหรือรับทำงานการต่าง ๆ
เรียกเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับในการนั้น รวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไป
ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5384/2551
หนี้จากการใช้บัตรเครดิตไม่ว่าจะเป็นหนี้จากการซื้อสินค้าและบริการต่างๆ
หรือหนี้จากการถอนเงินสด ล้วนเป็นหนี้อันเกิดจากการใช้บัตรเครดิตด้วยกัน
จึงมีอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (7) ไม่อาจแยกบังคับนับอายุความแตกต่างกันได้
การรับสภาพหนี้โดยการชำระหนี้บางส่วนที่จะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้น
จำเลยจะต้องเป็นผู้กระทำหรือยินยอมให้กระทำ ดังนั้น
การที่โจทก์หักทอนบัญชีเงินฝากของจำเลยชำระหนี้บัตรเครดิตอันเป็นการใช้สิทธิหักกลบลบหนี้
โดยมิได้มีข้อตกลงกันไว้ขณะทำสัญญา ดังนี้
แม้จำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านจะถือว่าจำเลยยินยอมในการกระทำของโจทก์ดังกล่าวด้วยหาได้ไม่
กรณีไม่ถือว่าจำเลยชำระหนี้บางส่วนอันเป็นการรับสภาพหนี้ซึ่งจะมีผลให้อายุความสะดุดหยุดลงได้
สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...พิเคราะห์แล้ว
ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า
จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์และได้ใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าและบริการรวมทั้งถอนเงินสดรวมเป็นเงินจำนวน 160,000 บาท และโจทก์ได้ชำระเงินค่าสินค้าและบริการแทนจำเลยไป
หลังจากนั้นโจทก์แจ้งยอดใช้จ่ายให้จำเลยทราบ จำเลยใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายวันที่ 30 มกราคม 2539 โจทก์หักทอนบัญชีถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2539 จำเลยมีหนี้ค้างชำระจำนวน 182,941.05 บาท โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้และบอกเลิกสัญญาตามหนังสือและใบตอบรับในประเทศ
แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระหนี้ ที่โจทก์ฎีกาว่า
หนี้ตามสัญญาบัตรเครดิตที่โจทก์นำมาฟ้องรวมถึงหนี้ที่จำเลยใช้บัตรเครดิตถอนเงินสดจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติหรือสำนักงานสาขาของโจทก์จำนวน 3 ครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 160,000 บาท
และยังมีค่าธรรมเนียมถอนเงินสดจำนวน 6,840 บาท
ด้วย
ซึ่งการใช้บัตรเครดิตถอนเงินสดดังกล่าวมิใช่เป็นกรณีที่โจทก์ออกเงินทดรองจ่ายไปให้บุคคลอื่นก่อนแล้วจึงเรียกเก็บจากจำเลย
แต่เป็นกรณีที่จำเลยถอนเงินสดของโจทก์ออกไปใช้อันมีลักษณะเช่นเดียวกับการเบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์และจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์
หนี้ในส่วนของการถอนเงินสดจึงไม่อยู่ในบังคับของอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) และเมื่อไม่มีกำหนดอายุความไว้จึงใช้อายุความทั่วไปมีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 นับแต่วันที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องได้นั้น เห็นว่า
สำหรับบัตรเครดิตไม่ว่าจะเป็นหนี้อันเกิดจากการถอนเงินสดหรือหนี้จากการซื้อสินค้าและบริการต่างๆ
ย่อมเป็นหนี้อันเกิดจากสัญญาใช้บัตรเครดิตเดียวกัน จึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7) ไม่อาจจะแยกบังคับนับอายุความแตกต่างกันได้ ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5319/2544 ระหว่างธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์ นางจุฑามาศ จำเลย
ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปรึกษากฎหมายโทร
080-9193691
, 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ
คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments