พฤติการณ์อย่างไรจึงจะถือว่ารู้ว่ามีการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง
ในคดีที่จำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานฉ้อโกงและความผิดตาม
พ.ร.บ.ว่าด้วยความรับผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โดยจำเลยสั่งจ่ายเช็คเพื่อชำระเงินคืนแก่โจทก์หลายฉบับ
แน่นอนการที่โจทก์จะอ้างว่าเพิ่งทราบว่าตนถูกหลอกลวงนั้น
ย่อมอ้างว่าทราบเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งก็ยากที่จะพิสูจน์ได้ว่า ความจริงแล้ว
โจทก์ทราบว่าตนถูกหลอกลวงตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่กรณีที่มีการฉ้อโกงโดยจำเลยสั่งจ่ายเช็คให้แก่โจทก์หลายครั้ง
และขอผัดผ่อนที่จะชำระเงินคืนให้แก่โจทก์เรื่อยมา เช่นนี้แล้ว
จะถือว่าพฤติการณ์ที่โจทก์น่าจะรู้ว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นเมื่อไหร่
เรื่องนี้มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจวินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานแล้ว คือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2191/2551
จำเลยชักชวนโจทก์ร่วมให้ลงทุนทำธุรกิจกับจำเลย
โดยอ้างว่าจะนำเงินไปลงทุนเป็นค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่ของโรงแรมเพื่อจัดแสดงสินค้าหัตถกรรมไทยให้ชาวต่างประเทศมาซื้อและนำไปทำกล่องปากกาย่านลิเภาส่งให้บริษัท
ก. พร้อมกับนำหลักฐานการติดต่อโรงแรมและบริษัท ก. มาให้ดู
โจทก์ร่วมจึงโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยรวม 13 ครั้ง จากนั้นโจทก์ร่วมก็ไม่เห็นว่าจำเลยจะดำเนินการใดๆ
และคอยติดตามทวงถามจำเลยว่าดำเนินการเกี่ยวกับธุรกิจไปมากน้อยเพียงใด
จำเลยบ่ายเบี่ยงว่ากำลังติดต่ออยู่และยังดำเนินการไม่เสร็จ โจทก์ร่วมจึงทวงเงินคืน
แต่แทนที่จำเลยจะคืนเงินกลับสั่งจ่ายเช็คให้โจทก์ร่วมสองฉบับ ซึ่งนับแต่วันที่ 28
เมษายน 2543 อันเป็นวันที่โจทก์ร่วมโอนเงินให้จำเลยครั้งแรกถึงวันที่
10 ตุลาคม 2543 อันเป็นวันที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คฉบับแรกให้โจทก์ร่วมนั้นก็เป็นระยะเวลาหลายเดือน
โจทก์ร่วมย่อมน่าจะรู้แต่นั้นแล้วว่าจำเลยหลอกลวงเอาเงินไปโดยมิได้ดำเนินการเกี่ยวกับธุรกิจตามที่ชักชวนไว้
ครั้นโจทก์ร่วมนำเช็คทั้งสองฉบับไปเรียกเก็บเงินธนาคารก็ปฏิเสธการจ่ายเงิน
โจทก์ร่วมทวงถาม
แต่จำเลยผัดผ่อนว่าจะนำเงินสดมาชำระคืนและขอให้โจทก์ร่วมไม่ดำเนินคดีตามกฎหมายอีก
จึงเป็นพฤติการณ์ที่มาสนับสนุนให้โจทก์ร่วมรู้แน่ชัดยิ่งขึ้นอีกว่าถูกจำเลยหลอกลวงแล้ว
การที่จำเลยผัดผ่อนว่าจะนำเงินสดมาชำระคืนและขอให้โจทก์ร่วมไม่ดำเนินคดีตามกฎหมายนั้นไม่เป็นผลลบล้างการรับรู้ของโจทก์ร่วมที่ถูกจำเลยหลอกลวง
แต่วันที่โจทก์ร่วมไปทวงถามเงินคืนจากจำเลยไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเป็นวันใด
จึงต้องถือเอาวันที่ 10 ตุลาคม 2543 อันเป็นวันที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คฉบับแรกให้โจทก์ร่วมเป็นวันที่โจทก์ร่วมรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงโจทก์ร่วมแล้ว
เมื่อโจทก์ร่วมไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยวันที่ 1 ตุลาคม 2544 จึงเกินกว่า 3 เดือน
คดีจึงขาดอายุความตาม ป.อ. มาตรา 96
สรุปคือ
โจทก์ควรรู้ว่ามีการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงเกิดขึ้นและรู้ตัวผู้กระทำความผิดนับแต่วันที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คฉบับแรก
ดังนั้น การดำเนินคดีโจทก์ต้องร้องทุกข์หรือฟ้องคดีภายในกำหนด 3 เดือนนับแต่วันที่สั่งจ่ายเช็คฉบับแรก
มิฉะนั้นคดีเป็นอันขาดอายุความ เด้อพี่น้องเด้อ !!!
BY-ทนายนิค โทร 095-9567735
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments