กู้เงินอย่างไร ไม่ให้เสียเปรียบเจ้าหนี้ผู้ให้กู้
ทำสัญญากู้ยืมเงินอย่างไรไม่ให้เสียเปรียบผู้ให้กู้
เป็นเรื่องธรรมดาของโชคชะตาชีวิต คนเราย่อมเกิดมาในสถานะและสังคมที่แตกต่างกัน
มีทั้งคนจนคนรวยปะปนกันไป และเงินถือเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งไม่แพ้ปัจจัย 4
ในการดำรงชีพ ในการประกอบธุรกิจ หรือในการดำเนินกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน
เพราะความไม่มี เพราะความอยากได้อยากมี หรือเพราะความเดือนร้อนของคนที่อยากมี
หลายคนชักหน้าไม่ถึงหลัง บางคนได้เงินเดือนไม่พอกับรายจ่ายประจำเดือน
อำนาจของเงินจึงมีพลังอย่างยิ่งที่จะนำพาบุคคลเหล่านี้ไปสู่ผู้เป็นเจ้าของเงิน
เมื่อไม่มีเงินก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน แล้วจะทำอย่างไรดี
ในเมื่อมันจำเป็นจะต้องกู้เงินจริงๆ เราจะมีวิธีกู้เงินอย่างไรไม่ให้เสียเปรียบเจ้าหนี้ ?
กฎหมายที่เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(ป.พ.พ.) มาตรา 650-656 ผมขอสรุปสะระสำคัญไว้
11ประเด็น พร้อมตัวอย่าง ดังนี้
1.
หลักฐานการกู้ยืมเงิน
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653
วรรคหนึ่ง กล่าวคือ “การกู้ยืมเงินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป
ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้” ดังนั้น
หากกู้ยืมเงินกันตั้งแต่ 2,001 บาท
ต้องมีการทำหลักฐานแห่งการกู้กันไว้เป็นหนังสือซึ่งกฎหมายไม่ได้กำหนดรูปแบบวิธีการเขียนไว้
และไม่ใช่แบบของนิติกรรม (ฏีกาที่ 3464/2528) เพียงแต่ต้องมีใจความครบถ้วนว่า
กู้ยืมเมื่อใด ใครเป็นผู้กู้ ใครเป็นผู้ให้กู้ กู้เงินจำนวนเท่าไร
ดอกเบี้ยเท่าไรต่อเดือนหรือต่อปี มีกำหนดใช้เงินคืนกันเมื่อไร
และที่สำคัญต้องให้ผู้กู้ลงลายมือชื่อไว้ในหลักฐานแห่งการกู้นั้นด้วย
ไม่เช่นนั้นก็ฟ้องร้องบังคับให้ชำระหนี้ไม่ได้ ส่วนหลักฐานเป็นหนังสือนั้น
ไม่จำเป็นต้องมีในขณะกู้ยืมกัน แม้จะมีหลักฐานเป็นหนังสือในภายหลัง
แต่ก่อนฟ้องคดีก็เป็นอันใช้ได้ (ฎีกาที่ 3464/2528)
ตัวอย่างหลักฐานการกู้เงิน เช่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1567/2499
คำรับสภาพหนี้ในบันทึกการเปรียบเทียบของอำเภอซึ่งจำเลยลงลายมือชื่อไว้
เป็นหลักฐานแสดงการกู้ยืมเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653
(เทียบฎีกาที่ 865/2493)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 644/2509
บันทึกประจำวันของพนักงานสอบสวนที่มีข้อความชัดแจ้งว่าจำเลยรับรองว่าได้กู้ยืมเงินของโจทก์ไปจำนวนเท่านั้นเท่านี้จริงและจำเลยได้ลงชื่อไว้ท้ายบันทึกนั้นด้วย
แม้จะเป็นเรื่องพนักงานสอบสวนเรียกไปไกล่เกลี่ยในทางอาญาก็ตามก็ใช้บันทึกนั้นเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 215/2510
จำเลยและภรรยาได้จดทะเบียนหย่ากันที่อำเภอ
และได้ให้ถ้อยคำในบันทึกหลังทะเบียนหย่าต่อนายทะเบียนว่า
ภรรยาจำเลยได้ยืมเงินจากโจทก์มายังไม่ได้คืน
จำเลยและภรรยาได้ลงลายมือชื่อรับรองว่าบันทึกถูกต้องดังนี้บันทึกหลังทะเบียนหย่าถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 653 โจทก์นำหลักฐานนั้นมาฟ้องเรียกหนี้อันเกิดจากการกู้ยืมได้
หลักฐานการกู้ยืม ไม่ใช่สัญญากู้ยืม แม้มิได้ปิดอากรแสตมป์
ตามประมวลรัษฎากรก็รับฟังเป็นพยานได้ (อ้างฎีกาที่ 368/2506)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2522
จำเลยทำหนังสือให้โจทก์ไว้มีใจความว่า 'ข้าพเจ้านายศุภวัตรแก้วประดับได้ยืมเงินจากนายยีซบมูฮำหมัดจำนวน 130,000 บาท และจะชำระคืนให้ตามเช็คธนาคารชาร์เตอร์เลขที่ 917820 ซึ่งได้ให้ไว้เป็นการค้ำประกัน แล้วลงลายมือชื่อไว้ ดังนี้
หนังสือนั้นเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามกฎหมายแล้ว
2. สัญญากู้ยืมจะบริบูรณ์เมื่อใด
เรื่องนี้เป็นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 650 วรรคสอง
ซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับความบริบูรณ์ของสัญญาว่า
ย่อมบริบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินหรือเงินที่ยืม
จะเห็นได้ว่ากฎหมายบัญญัติว่าต้องมีการส่งมอบเงิน
หากไม่ส่งมอบสัญญาก็ไม่บริบูรณ์เท่านั้น แต่ไม่ทำให้สัญญาเป็นโมฆะ โมฆียะ
หรือเสียเปล่าแต่อย่างใด
3.การลงลายมือชื่อและการพิมพ์ลายนิ้วมือแทนการลงลายมือชื่อ
หากผู้กู้ลงลายมือชื่อไว้ไม่ได้
ก็สามารถพิมพ์ลายนิ้วมือไว้ในหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้ แต่ต้องมีพยาน รับรองลายพิมพ์นิ้วมือ 2 คน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 9 วรรคสอง เช่นเขียนว่า
ข้าพเจ้านาย เอ และนาย บี ขอรับรองว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของนาย ก. ผู้กู้
แล้วให้นาย เอ และนาย บี ลงลายมือชื่อไว้ด้วย
เช่นถือก็ถือว่าเป็นการลงลายมือชื่อผู้กู้แล้ว
การให้ผู้อื่นลงลายมือชื่อในเอกสารการกู้เงินแทน โดยลงชื่อของผู้กู้นั้น
การกู้เงินไม่ผูกพันผู้กู้
และหาใช้กรณีเชิดให้ผู้ลงลายมือชื่อแทนเป็นตัวแทนการกู้เงินไม่ (ฎีกาที่ 696/2522)
4. การลงลายมือชื่อ กรณีทำธุรกรรมทางอินเล็กทรอนิกส์
ในกรณีที่มีการให้กู้ยืมเงินโดยวิธีการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทาอิเล็กทรอนิกส์
หากมีการดำเนินการต่างๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
กรณีก็ถือว่ามีการลงลายมือชื่อและมีหลักฐานการกู้ยืมเงินแล้ว เช่น
คำพิพากษาฎีกาที่ 8089/2556 วินิจฉัยว่า
การที่จำเลยนำบัตรกดเงินสดควิกแคชไปถอนเงินและใส่รหัสส่วนตัวเปรียบได้กับการลงลายมือชื่อตนเอง
ทำรายการเบิกถอนเงินตามที่จำเลยประสงค์ และกดยืนยันทำรายการพร้อมรับเงินสดและสลิป
การกระทำดังกล่าวถือเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินจากโจทก์ ตาม
พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544 มาตรา 7,
8 และมาตรา 9
5. หลักฐานแห่งการกู้ยืมที่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข
หากการแก้ไขหลักฐานการกู้ยืมในระหว่างที่ยังทำเอกสารหลักฐานนั้นไม่เสร็จตามความประสงค์ของคู่กรณีแม้ไม่ลงชื่อกำกับไว้ก็เป็นหลักฐานการกู้ยืมที่สมบูรณ์
เช่น
ขณะเขียนสัญญากู้ยืมเงินมีการเขียนหรือกรอกตัวเลขผิดไม่เป็นไปตามความประสงค์ของคู่สัญญา
และมีการขีดฆ่าแก้ไขในขณะนั้นก็ใช้ได้ แต่ข้อนี้ควรระมัดระวัง
เพราะเมื่อไม่มีพยานหลักฐานมั่นคง หรือจับได้ไม่มั่นคั้นไม่ตาย
ก็จะมีการกล่าวอ้างว่าเป็นการปลอมแปลงสัญญากู้ยืมเงิน ต้องพิสูจน์กันยาว
และอาจกลายเป็นคดีอาญาตามมาอีก ทางที่ดีก็ให้ลงลายมือชื่อกำกับไว้ก็สิ้นเรื่องและควรมีพยานรู้เห็นในการทำสัญญากู้เงินกันด้วย
และก็อย่าลืมทำสัญญาไว้เป็น 2 ฉบับต่างฝ่ายๆเก็บไว้คนละฉบับ
เพราะหากกรณีมีการแก้ไขเปลี่ยนแลงสัญญาขึ้นมา จะได้มีหลักฐานอ้างอิงกันได้
6.
การแก้ไขหลักฐานการกู้ยืมเงินที่สมบูรณ์แล้ว
หากภายหลังที่ได้ทำหลักฐานการกู้ยืมเงินเสร็จสิ้นไปแล้ว
ต่อมามีการกู้เงินเพิ่มเติม โดยไม่ได้ทำหลักฐานการกู้ยืมขึ้นมาใหม่
แต่ได้ไปขีดฆ่าเฉพาะจำนวนเงินในสัญญากู้เงินเดิม
แล้วเขียนจำนวนเงินเพิ่มขึ้นตามจำนวนที่กู้ไปทั้งสองครั้งรวมกัน
โดยผู้กู้มิได้ลงลายมือชื่อกำกับไว้
ถือว่าการกู้ยืมเงินเฉพาะครั้งแรกเท่านั้นที่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้
ส่วนการกู้ยืมครั้งหลังไม่มีหลักฐาน
ส่งผลให้ผู้กู้รับผิดเฉพาะการกู้ยืมเงินครั้งแรกเท่านั้น ดังนั้น กู้เงินกันแต่ละครั้ง
ก็ควรเขียนสัญญากันใหม่ทุกครั้ง
7. กรอกจำนวนเงินกู้ในช่องว่างไม่ตรงกับจำนวนกู้ยืมกันจริง ผลเป็นอย่างไร ?
ในเรื่องนี้พบเห็นกันบ่อยครั้ง
เวลาผู้กู้จะไปขอกู้เงินนายทุนหรือผู้ให้กู้
ผู้ให้กู้มักจะให้ผู้กู้ลงลายมือชื่อเอาไว้ในตอนท้ายของสัญญา
โดยไม่ได้มีการกรอกข้อความเกี่ยวกับจำนวนเงินและข้อความอื่นในสัญญา
ต่อมาวันดีขึ้นดีเจ้าหนี้ผู้ให้กู้ทำหัวใส กรอกจำนวนกู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น
กู้ยืมกันจริง 20,000 บาท
แต่เวลาจะฟ้องคดีกรอกจำนวนตัวเลขที่กู้ยืมกันจำนวน 200,000
บาท โดยผู้ให้กู้ไม่รู้เห็นยินยอม เช่นนี้ สัญญากู้ดังกล่าวถือเป็นเอกสารปลอม
และถือได้ว่าการกู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน
จึงไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 653 ทั้งนี้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่
2692/2526, 1532/2526, ฎีกาที่
4693/2528
ในข้อนี้ต้องระวังให้ดี
ลูกหนี้ผู้กู้จะได้เปรียบเจ้าหนี้ก็ตรงนี้แหละครับ
และผู้ให้กู้มีภาระพิสูจน์หรือทำหน้าที่นำสืบ
เพราะผู้ให้กู้เป็นฝ่ายกล่าวอ้างนำคดีมาสู่ศาล
ย่อมเป็นการยืนยันอยู่ในตัวมาสัญญากู้ของตนเองถูกต้องสมบูรณ์
เมื่อผู้กู้ต่อสู้ว่าสัญญากู้ปลอม ผู้ให้กู้ก็ต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์ (ฎีกาที่
244/2497)
อย่างไรก็ดีมีบางกรณีหรือบางคดีที่ผู้กู้มีภาระพิสูจน์ ดังนั้น
จึงต้องพิจารณาข้อเท็จจริงแต่ละคดีเป็นเรื่องๆไป
8.
การนำสืบว่ามีการใช้หนี้เงินกู้แล้วจะทำอย่างไร?
เรื่องนี้สำคัญและพบมาก คือ เมื่อผู้กู้ชำระหนี้เงินกู้ครบแล้ว
แต่ไม่ได้ขอสัญญากู้คืนมาจากผู้ให้กู้
ต่อมาเมื่อถูกฟ้องร้องก็อ้างว่าชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว กรณีนี้ ป.พ.พ. มาตรา 653 วรรคสอง บัญญัติไว้ชัดเจน กล่าวคือ
“ในการกู้ยืมเงินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
จะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืม
หรือหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”
ดังนั้น ถ้าไม่มีการบันทึกไว้ในสัญญากู้หรือทำบันทึกไว้ต่างหากว่าผู้กู้ชำระหนี้เงินกู้
ฉบับลงวันที่ใด ไว้จำนวนเท่าใด และได้ลงลายมือชื่อผู้ให้กู้ไว้
หรือสัญญากู้นั้นกลับคืนมาอยู่ในมือผู้กู้เพราะได้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้วหรือมีการขีดฆ่าเพิกถอนไว้ในสัญญากู้ฉบับนั้นแล้ว
ก็จะนำมาอ้างว่าได้ชำระหนี้ให้แก่ผู้ให้กู้ไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม
กรณีนี้เป็นการห้ามนำสืบเฉพาะการใช้เงินชำระหนี้ที่มีการกู้ยืมเงินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือเท่านั้น
แต่ไม่ได้ห้ามการนำสืบกรณีใช้ทรัพย์สินอย่างอื่นชำระหนี้แทนเงิน หมายความว่า
ถ้าจะอ้างว่าหนี้ตามสัญญาเงินกู้นั้นมีการชำระแล้วโดยการชำระหนี้ด้วยแก้ว แหวน ทอง
ข้าวสาร ก็สามารถนำสืบหักล้างว่ามีการชำระหนี้แล้วได้ ซึ่งก็คงต้องมีพยานบุคคล
พยานหลักฐานอื่น มาประกอบให้เห็นชัดเจนด้วย
9.
คิดดอกเบี้ยเงินกู้เกินร้อยละ 15 ต่อปีได้หรือไม่
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 654
ห้ามคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี (ร้อยละ 1.25 บาทต่อเดือน)
ถ้าในสัญญากำหนดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเหลือร้อยละ 15 ต่อปี
แต่ถ้าผู้กู้ได้ชำระดอกเบี้ยที่เกินอัตราให้แก่ผู้ให้กู้ไปแล้ว
ถือเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจก็จะเรียกดอกเบี้ยที่เกินอัตรานั้นคืนไม่ได้
นอกจากนี้ ในกรณีผู้ให้กู้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี
ยังเป็นการขัดต่อกฎหมายอีกฉบับหนึ่ง คือ พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา
พ.ศ. 2475 มีผลให้ดอกเบี้ยต้องตกเป็นโมฆะทั้งหมด
และผู้ให้กู้อาจถูกดำเนินคดีอาญาได้ด้วย
สำหรับในกรณีที่ถ้าในสัญญากู้ยืมเงินหรือหลักฐานกู้ยืมเงินไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะคิดดอกเบี้ยกันในอัตราเท่าใด
เมื่อมีการฟ้องร้องกัน ผู้ให้กู้ก็จะคิดดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี
ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยผิดนัดสูงสุดตามกฎหมายเท่านั้น
10.
ผู้กู้ชำระหนี้เงินกู้คืนด้วยสิ่งของอย่างอื่นที่มิใช่เกินได้หรือไม่
ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินกัน
และผู้กู้ยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนการชำระเงินที่กู้ยืมก็ได้
โดยให้คิดเป็นหนี้ค้างชำระเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและสถานที่ส่งมอบ
เช่น การเอาแหวนเพชรใช้แทนเงินกู้
ก็ต้องคิดราคาแหวนเพชรตามราคาท้องตลาดในเวลาและสถานที่ที่มีการส่งมอบแหวนเพชรชำระหนี้แทนเงินกู้
เพื่อให้รู้ว่ามีการชำระหนี้ไปแล้วเท่าใด ครบถ้วนหรือไม่ ทั้งนี้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 656 วรรคสอง
11. กู้ยืมเงินโดยรับสิ่งของแทนเงินกู้ได้หรือไม่
ในเรื่องนี้ ป.พ.พ.มาตรา 656 วรรคแรกได้ กำหนดว่า
ถ้าทำสัญญากู้ยืมเงินกันและผู้กู้ยืมสินอย่างอื่นแทนจำนวนเงิน
ยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์ให้คิดเป็นหนี้ค้างชำระเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและสถานที่ส่งมอบ
กรณีดังกล่าวข้างต้น
เป็นเรื่องการกู้ยืมเงินที่เป็นปกติระหว่างผู้กู้กับผู้ให้กู้ แต่ในสังคมปัจจุบัน
การกู้เงินนอกระบบ เข้ามามีบทบาทกับสังคมมาก
มีการทำสัญญาเอารัดเอาเปรียบผู้กู้ไว้ในทุกด้าน
และขัดต่อกฎหมายดังที่กล่าวมาข้างต้น
และผู้กู้มักอยู่ในสภาพจำยอมที่ไม่อาจปฏิเสธได้ เนื่องจากมีความต้องการใช้เงินด่วน
ซึ่งหากไม่มีวินัยในการออม ก็ต้องยอมให้เขาเอาเปรียบอยู่ต่อไปนั่นเอง
ปรึกษากฎหมายโทร
080-9193691
, 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ
คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
สวัสดีคุณนายและมาดาม
เราเป็นโครงสร้างสินเชื่อส่วนบุคคล
เพื่อต่อสู้กับความยากจนและการกีดกันธนาคาร I
ข้อเสนอออนไลน์:
- สินเชื่อเพื่อการพาณิชย์
- สินเชื่อส่วนบุคคล
- สินเชื่อการเงิน
- สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์
และทุกอย่างตั้งแต่ 200000 บาทถึง 50000000 บาท ดอกเบี้ยเงินกู้ อัตราดอกเบี้ย 2% สำหรับเงินกู้ทั้งหมด และเงื่อนไขของข้อเสนอเงินกู้นั้นง่ายมาก เงินกู้ที่ร้องขอจะได้รับภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากส่ง ข้อเสนอของฉันเป็นเรื่องจริงจัง คุณสามารถรับรู้ได้โดยขั้นตอนตามกฎหมายสำหรับการให้กู้ยืมเงินระหว่างบุคคล
ติดต่อบริษัทวันนี้และแจ้งให้เราทราบว่าคุณต้องการกู้เงินเท่าไหร่
ที่อยู่อีเมลของบริษัทคือ:
(radickjames7@gmail.com)
+2349169711537