การพิจารณาคดีลับหลังจำเลย และการจำหน่ายคดีชั่วคราวของศาล
ในการพิจารณาคดีหากทั้งโจทก์และจำเลยต่างมาปรากฏตัวต่อหน้าศาลกระบวนการพิจารณาต่างๆก็ดำเนินไปได้ตามปกติ
แต่หากขาดฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไป
การพิจารณาคดีจะเป็นไปในรูปแบบใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับประเภทของคดี
ซึ่งในคดีอาญากฎหมายให้ความสำคัญแก่การนำตัวจำเลยมาปรากฏต่อหน้าศาล
เพราะหากปราศจากตัวจำเลยเสียแล้วกระบวนการพิจารณาและสืบพยานจะดำเนินไปมิได้และอาจเป็นเหตุให้ศาลจำหน่ายคดีนั้นออกจากสารบบความชั่วคราว
ตามหลักกฎหมายที่ว่าการพิจารณาคดีอาญานั้นต้องดำเนินไปอย่างเปิดเผยต่อหน้าจำเลยตามหลักฟังความทุกฝ่ายที่จะต้องเปิดโอกาสให้จำเลยสามารถต่อสู้ได้
การพิจารณาและสืบพยานคดีอาญา
การพิจารณาและสืบพยานในศาลต้องทำโดยเปิดเผยและกระทำต่อหน้าจำเลยเสมอ หลักการนี้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 172 ว่า “การพิจารณาและสืบพยานในศาลให้ทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย
เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
เมื่อโจทก์หรือทนายโจทก์และจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลแล้วและศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง
ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังและถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่
จะให้การต่อสู้อย่างไร
คำให้การของจำเลยให้จดไว้
ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การก็ให้ศาลจดรายงานไว้และดำเนินการพิจารณาต่อไป”
จากข้อความข้างต้นจะเห็นได้ว่ามีหลักสำคัญในการสืบพยานอยู่ 2 ประการคือ
1. การสืบพยานต้องกระทำต่อหน้าจำเลยเสมอ ซึ่งจำเลยตามมาตรานี้หมายถึงบุคคลที่ถูกฟ้องมายังศาลแล้ว
การที่กำหนดให้จำเลยต้องมีส่วนรับรู้การดำเนินการทั้งหลายในศาลเพราะกระบวนการต่างๆเป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงการกำหนดให้กระทำต่อหน้าจำเลยเพื่อให้จำเลยได้มีโอกาสต่อสู้คดี
และหากจำเลยไม่มาศาล การพิจารณาจะกระทำมิได้จะต้องเลื่อนคดี
2. การสืบพยานต้องกระทำโดยเปิดเผย คือ
ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าฟังได้
แต่มีข้อควรระวังคือการเปิดเผยนี้ต้องไม่เป็นไปในทางโฆษณาเชิญชวน
เพราะตามหลักกฎหมายอาญานั้นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด
ซึ่งหลักการนี้สอดคล้องกับหลักกฎหมายในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
พ.ศ. 2542 มาตรา 27 ที่กำหนดให้ ”ในวันพิจารณาครั้งแรกเมื่อจำเลยมาอยู่ต่อหน้าศาลและศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริง...”
ซึ่งหากไม่สามารถนำตัวจำเลยมาปรากฏต่อหน้าศาลในขั้นตอนการพิจารณาได้
กระบวนการพิจารณาและสืบพยานก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
ศาลต้องจำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว จนกว่าจะนำตัวจำเลยมาปรากฏต่อศาลได้ภายในอายุความ
จึงจะให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปใหม่
การจำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว เป็นอย่างไร?
การจำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราวมี 2 กรณีคือ
กรณีที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาบัญญัติให้กระทำได้โดยชัดแจ้งและกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้โดยชัดแจ้งกรณีกฎหมายให้อำนาจจำหน่ายคดีออกจากสารบบความไว้โดยชัดแจ้ง
คือ ในคดีที่มีจำเลยหลายคนและจำเลยบางคนรับสารภาพ
เมื่อศาลเห็นสมควรจะสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ปฏิเสธเพื่อให้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ปฏิเสธนั้นเป็นคดีใหม่ภายในเวลาที่ศาลกำหนดก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 วรรคสอง หรือจะไปเป็นตามหลักแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 14 ในกรณีที่จำเลยวิกลจริตไม่สามารถต่อสู้คดีได้เมื่อได้รับคำยืนยันจากแพทย์ว่าจำเลยวิกลจริตจริงถ้าศาลเห็นสมควรจะจำหน่ายคดีนั้นเสียจากสารบบความก็ได้
โดยเมื่อจำเลยได้รับการรักษาจนสามารถต่อสู้คดีได้แล้วให้โจทก์แถลงเพื่อยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไปได้
ถ้าโจทก์ไม่แถลงศาลเรียกแพทย์ผู้ตรวจจำเลยมาแถลงและกำหนดวันนัดพิจารณาได้
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่496/2536)
กรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้โดยชัดแจ้ง
คือ กรณีที่ศาลเห็นว่าคดีดังกล่าวไม่สามารถดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไปได้และจะทำให้คดีค้างอยู่ในสารบบความของศาลโดยใช่เหตุ
จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว เช่น
คดีที่จำเลยได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวแล้วหลบหนี
ถ้าศาลเห็นสมควรจะจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความก็ได้ เมื่อจับจำเลยได้แล้วหากยังอยู่ภายในอายุความให้ยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไป
การพิจารณาและสืบพยานลับหลังจำเลยทำได้หรือไม่
โดยหลักแล้วการพิจารณาและสืบพยานกฎหมายบัญญัติให้ต้องกระทำโดยเปิดเผยและกระทำต่อหน้าจำเลย
แต่ทั้งนี้ก็มีข้อยกเว้นให้ศาลสามารถดำเนินกระบวนพิจารณาและสืบพยานไปโดยปราศจากตัวจำเลยได้
ที่เรียกว่า การพิจารณาและสืบพยานลับหลังจำเลย ซึ่งหลักตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 172 ทวิ กำหนดว่า เมื่อจำเลยมาปรากฏตัวต่อหน้าศาลเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว
เมื่อศาลเห็นสมควรเพื่อให้การดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นไปโดยไม่ชักช้า
ศาลมีอำนาจพิจารณาและสืบพยานลับหลังจำเลยได้ในกรณีดังต่อไปนี้
1. ในคดีที่มีอัตราโทษอย่างสูงไม่เกินสิบปี
จะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตามหรือในคดีมีโทษปรับสถานเดียว
เมื่อจำเลยมีทนายและจำเลยได้รับอนุญาตจากศาลที่จะไม่มาฟังการพิจารณาและการสืบพยาน
2. ในคดีที่มีจำเลยหลายคน
ถ้าศาลพอใจคำแถลงของโจทก์ว่า การพิจารณาและการสืบพยานตามที่โจทก์ขอให้กระทำไม่เกี่ยวแก่จำเลยคนใด
ศาลจะพิจารณาและสืบพยานลับหลังจำเลยคนนั้นก็ได้
3. ในคดีที่มีจำเลยหลายคนถ้าศาลเห็นสมควรจะพิจารณาและสืบพยานจำเลยคนหนึ่งๆลับหลังจำเลยคนอื่นก็ได้
ในคดีที่ศาลพิจารณาและสืบพยานตาม (2) และ
(3) ลับหลังจำเลยคนใด ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด
ห้ามมิให้ศาลรับฟังการพิจารณาและการสืบพยานที่กระทำลับหลังนั้นเป็นผลเสียหายแก่จำเลยคนนั้น
การพิจารณาลับ
ในการพิจารณาคดีนั้นศาลจะพิจารณาโดยไม่เปิดเผย
คือ พิจารณาลับก็ได้ ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 177 กำหนดว่า “ศาลมีอำนาจสั่งพิจารณาเป็นการลับ
เมื่อเห็นสมควรโดยพลการหรือโดยคำร้องขอของคู่ความฝ่ายใดแต่ต้องเพื่อประโยชน์แห่งความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
หรือเพื่อป้องกันความลับอันเกี่ยวกับความปลอดภัยของประเทศมิให้ล่วงรู้ถึงประชาชน”
เมื่อเป็นการพิจารณาลับบุคคลที่มีสิทธิอยู่ในห้องพิจารณาได้ คือ
โจทก์และทนายความ จำเลยและทนายความ ผู้ควบคุมตัวจำเลย พยานและผู้ชำนาญพิเศษ ล่าม
บุคคลที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องและได้รับอนุญาตจากศาล
รวมถึงพนักงานศาลและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย จะเห็นได้ว่าแม้จะเป็นการพิจารณาลับก็ไม่สามารถกระทำได้หากปราศจากตัวจำเลย ตัวอย่างเช่นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1740/2518 ศาลชั้นต้นสั่งให้นำสืบจำเลยบางคนเป็นการลับ
ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นเรื่องลับที่สุดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงและเพื่อความปลอดภัยมั่นคงของราชอาณาจักรไทยจึงไม่กล่าวถึงรายละเอียดเรื่องราวต่างๆ
บุคคล และสถานที่ที่เกี่ยวข้องไว้ในคำพิพากษา
สรุป
การพิจารณาและสืบพยานในคดีอาญาต้องกระทำต่อหน้าจำเลยเสมอ
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลให้ดำเนินการพิจารณาและสืบพยานลับหลังจำเลยได้
แต่ทั้งนี้ศาลจะอนุญาตให้ดำเนินการพิจารณาและสืบพยานลับหลังจำเลยได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุที่ศาลเห็นสมควรและจำเลยได้มาปรากฏตัวต่อหน้าศาลเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว
และแม้จะเป็นการพิจารณาลับก็ต้องมีตัวจำเลยมาอยู่ร่วมในการพิจารณาเช่นกัน
ข้อมูล - นายสราวุธ เบญจกุล
รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม
และโฆษกสำนักงานศาลยุติธรรม
ปรึกษากฎหมายโทร
080-9193691
, 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ
คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments