การปฏิบัติตนของข้าราชการและลูกจ้างของส่วนราชการจะต้องระมัดระวังในเรื่องความประพฤติ ไม่ทำให้เสื่อมเสียแก่ตำแหน่งหน้าที่ อันเป็นความผิดวินัยประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงมีโทษปลดและไล่ออก
การปฏิบัติตนของข้าราชการและลูกจ้างของส่วนราชการจะต้องระมัดระวังในเรื่องความประพฤติ ไม่ทำให้เสื่อมเสียแก่ตำแหน่งหน้าที่ อันเป็นความผิดวินัยประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงมีโทษปลดและไล่ออก
ในส่วนโทษสำหรับการกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. 2551 ก็คือ ปลดออกและไล่ออก
และโทษสำหรับการกระทำความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงก็คือ ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน และลดเงินเดือน
ในส่วนของลูกจ้างประจำของส่วนราชการ มีระเบียบ
คือ ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยลูกจ้างประจำของส่วนราชการ พ.ศ. 2537
โดยข้อ 52 กำหนดว่า ลูกจ้างประจำผู้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ให้ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกได้ตามความร้ายแรงแห่งกรณี โดยการพิจารณาพฤติการณ์การกระทำความผิดกับระดับโทษนั้น
จะต้องมีความเป็นธรรมและเหมาะสมกันด้วย
สำหรับเรื่องนี้ เป็นกรณีที่ลูกจ้างประจำของกรมชลประทาน
ถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดีฐานร่วมกันเล่นการพนันไฮโลว์เอาทรัพย์สินกันโดยผิดกฎหมาย
และศาลมีคำพิพากษาลงโทษปรับ ต่อมาผู้บังคับบัญชาได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง
และมีคำสั่งลงโทษปลดออกจากราชการ เนื่องจากเป็นการกระทำอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงซึ่งถือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ผู้ฟ้องคดีทั้งสามเป็นลูกจ้างประจำของกรมชลประทาน โดยผู้ฟ้องคดีที่ 1 และผู้ฟ้องคดีที่ 3 ทำหน้าที่ในตำแหน่งรักษาอาคาร ส่วนผู้ฟ้องคดีที่ 2 ตำแหน่งคนงาน
ผู้ฟ้องคดีทั้งสามได้ร่วมเล่นการพนันไฮโลว์กับผู้เล่นอื่น รวม 11 คน ในวันหยุดโดยใช้สถานที่ราชการ
และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวดำเนินคดีโดยผู้ฟ้องคดีทั้งสามได้ให้การรับสารภาพ
และศาลแขวงมีคำพิพากษาลงโทษปรับคนละ 1,000 บาท ต่อมาอธิบดีกรมชลประทานได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง
และได้มีคำสั่งลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีทั้งสามออกจากราชการ
ผู้ฟ้องคดีทั้งสามได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อ อ.ก.พ.
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่ถูกยกอุทธรณ์ จึงได้ยื่นฟ้องอธิบดีกรมชลประทาน
(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และ อ.ก.พ.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ต่อศาลปกครองขอให้มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีทั้งสามออกจากราชการ
และมติที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี
ประเด็นก็คือ พฤติการณ์การกระทำของลูกจ้างดังกล่าว
ถือเป็นการกระทำความผิดวินัยฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงหรือไม่? และการลงโทษปลดออกจากราชการเหมาะสมกับการกระทำความผิดดังกล่าว หรือไม่?
คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 142/2559 เรื่องนี้ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ฟ้องคดีทั้งสามที่เป็นเพียงลูกจ้างประจำ ไม่ได้มีหน้าที่ในการกวดขันการกระทำผิดกฎหมาย โดยมีหน้าที่เกี่ยวกับการดูแลอาคารของหน่วยงาน
ไม่ได้มีหน้าที่ติดต่อหรือบริการประชาชนโดยตรง และในการกระทำผิดไม่ได้เป็นเจ้ามือ เจ้าสำนักหรือเล่นการพนันเป็นอาจิณ และความผิดดังกล่าวได้กระทำนอกเวลาราชการมิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ประกอบกับเมื่อพิจารณาแนวทางการลงโทษกรณีการกระทำความผิดลักษณะดังกล่าว ซึ่ง ก.พ. ในฐานะเป็นองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของส่วนราชการต่าง ๆ
ที่ได้รวบรวมแนวทางการลงโทษที่ปรับบทความผิดและกำหนดระดับโทษได้อย่างเหมาะสม
ซึ่งกรณีการเล่นการพนันนั้นมีการลงโทษตัดเงินเดือนและลงโทษลดเงินเดือน
การลงโทษผู้ฟ้องคดีทั้งสามจึงต้องคำนึงถึงระดับโทษที่ส่วนราชการอื่นลงโทษด้วย สำหรับแนวทางการลงโทษตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2546 ซึ่งถือเป็นเพียงคำแนะนำให้ส่วนราชการนำไปประกอบการพิจารณา และหาได้หมายความว่าข้าราชการผู้ใดกระทำผิดฐานเล่นการพนันแล้วจะต้องเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงทุกกรณี ดังนั้น การกระทำของผู้ฟ้องคดีทั้งสามจึงยังไม่อาจถือได้ว่ากระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามข้อ 46 ของระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยลูกจ้างประจำของส่วนราชการ พ.ศ. 2537 แต่เป็นความผิดวินัยฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วตามข้อ
46 วรรคหนึ่ง ของระเบียบฉบับเดียวกัน
ซึ่งผู้บังคับบัญชามีอำนาจสั่งลงโทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดได้ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 วินิจฉัยว่าผู้ฟ้องคดีทั้งสามมีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงและลงโทษปลดออกจากราชการจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย มติที่ยกอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
ปรึกษากฎหมายโทร 080-9193691 , 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
สาขาเชียงใหม่ โทร 080-3955536 แอดไลน์ @closelawyercmi หรือ คลิก https://lin.ee/Zu2JmNU
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments