สัญญากู้ยืมไม่ได้ลงชื่อพยานในสัญญา ต่อมาผู้ให้กู้จึงให้ผู้อื่นลงชื่อในสัญญาเป็นพยานโดยพลการ แล้วนำมาฟ้องเป็นคดีกู้ยืมต่อศาล ผู้ให้กู้จะผิดฐานปลอมเอกสารหรือไม่
สัญญากู้ยืมไม่ได้ลงชื่อพยานในสัญญา
ต่อมาผู้ให้กู้จึงให้ผู้อื่นลงชื่อในสัญญาเป็นพยานโดยพลการ
แล้วนำมาฟ้องเป็นคดีกู้ยืมต่อศาล ผู้ให้กู้จะผิดฐานปลอมเอกสารหรือไม่
เวลาที่ท่านทำสัญญากู้ยืมเงิน
ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้กู้ หรือเป็นผู้ให้กู้
แน่นอนว่าสัญญากู้ยืมเงินต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงจะสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้
ซึ่งกฎหมายก็ไม่ได้กำหนดรูปแบบของสัญญาให้ท่านต้องเขียนตามไว้
แต่ก็จำเป็นต้องมีรายละเอียดคราวๆ ให้พอบังคับกันได้ตามกฎหมาย เช่น กู้ยืมเมื่อใด
ใครเป็นผู้กู้ ใครเป็นผู้ให้กู้ กู้เงินจำนวนเท่าไร
ดอกเบี้ยเท่าไรต่อเดือนหรือต่อปี มีกำหนดใช้เงินคืนกันตอนไหน
และที่สำคัญต้องมีลายมือชื่อผู้กู้
ไว้ในหลักฐานแห่งการกู้นั้นด้วย(ย้ำว่าต้องมีลายมือชื่อผู้กู้ ห้ามลืมเด็ดขาด!!) แต่ในบางครั้งขณะท่านทำสัญญากู้ยืมเงินกัน
ไม่มีพยานมาลงลายมือชื่อเป็นพยาน
วันต่อมาท่านจึงให้เพื่อนหรือคนใกล้ตัวมาลงลายมือชื่อภายหลัง
คำถาม : สัญญากู้ยืมไม่ได้ลงชื่อพยานในสัญญา
ต่อมาผู้ให้กู้จึงให้ผู้อื่นลงชื่อในสัญญาเป็นพยานโดยพลการ
แล้วนำมาฟ้องเป็นคดีกู้ยืมต่อศาล ผู้ให้กู้จะผิดฐานปลอมเอกสารหรือไม่
คำตอบ : การลงลายมือชื่อพยานภายหลังกู้ยืมเงินกัน
แม้เป็นการเพิ่มเติมข้อความในเอกสารที่แท้จริงโดยไม่มีอำนาจ
แต่มิได้ทำให้ลูกหนี้เสียหาย เจ้าหนี้ที่ปลอมลายมือชื่อพยาน
จึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร
คำพิพากษาฎีกาที่ 1126/2505
โจทก์ฟ้องว่า
เดิมโจทก์ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงิน 80,000 บาท ให้ไว้กับจำเลยที่
1 ต่อมาจำเลยทั้งสองได้บังอาจสมคบกันปลอมหนังสือสัญญากู้เงินดังกล่าวโดยให้จำเลยที่
2 เซ็นนามเป็นพยาน
เป็นการกระทำเพิ่มเติมขึ้นภายหลังจากการกระทำสัญญากู้เงินกันแล้ว
จึงเป็นการปลอมเอกสาร
ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำที่จะเป็นผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 264
จะต้องเป็นการกระทำที่น่าจะเกิดหรืออาจเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน
คดีนี้ โจทก์รับอยู่ว่า โจทก์ได้ลงชื่อในหนังสือสัญญากู้เงินจำเลยที่ 1 ไป 80,000 บาทจริง
สัญญาดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อในสัญญานั้นในภายหลัง
ตามกฎหมายจึงไม่น่าจะเกิดหรืออาจเกิดความเสียหายแก่โจทก์
จำเลยจึงไม่ควรมีความผิดดังที่โจทก์ฎีกา
ข้อสังเกต ความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 ต้องน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนด้วย
ถ้าไม่น่าจะเกิดความเสียหายก็ไม่เป็นความผิดเพราะขาดองค์ประกอบนั้นเอง
ฎีกานี้มีปัญหาเรื่องกู้ยืม ซึ่งตาม
ป.พ.พ. มาตรา 653 การกู้เงินมากกว่า 2,000 บาท
ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อลูกหนี้ เจ้าหนี้จึงจะเอาหลักฐานนั้นมาฟ้องลูกหนี้ได้
เราจะเห็นได้ว่าการฟ้องบังคับตามสัญญากู้จะมีลายมือชื่อพยานหรือไม่
ไม่ใช่สาระสำคัญเรื่องอำนาจฟ้อง
เพียงมีผลประโยชน์ในเรื่องการสืบพยานที่ลงชื่อไว้ในเอกสารเท่านั้น ดังนี้ การลงลายมือชื่อพยานภายหลังกู้ยืมเงินกัน
แม้เป็นการเพิ่มเติมข้อความในเอกสารที่แท้จริงโดยไม่มีอำนาจ
แต่มิได้ทำให้ลูกหนี้เสียหายเจ้าหนี้ที่ปลอมลายมือชื่อพยาน จึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร
ตามมาตรา 264 แม้สัญญากู้เป็นเอกสารสิทธิ ก็ไม่ผิด 265
มาตรา 264
ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง
หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ใดกรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษหรือวัตถุอื่นใด
ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอม
หรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อื่นนั้น
ถ้าได้กระทำเพื่อนำเอาเอกสารนั้นไปใช้ในกิจการที่อาจเกิดเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน
ให้ถือว่าผู้นั้นปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
มาตรา 265 ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ หรือเอกสารราชการ
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท
ปรึกษากฎหมายโทร 080-9193691 , 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments