แย่งปืนมายิงเจ้าของปืน ถือได้ว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ผู้ยิงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับโทษ
ในการป้องกันนั้น
จำเป็นต้องพิจารณาถึงสิ่งที่ใช้ป้องกันด้วย
โดยหากเป็นการป้องกันที่พอสมควรแก่เหตุแล้ว
จะทำให้ผู้กระทำไม่มีความผิดในทางอาญาเลย
แต่ถ้าสิ่งที่ใช้ป้องกันมีความรุนแรงเกินจำเป็นเพื่อป้องกัน เช่น
ใช้ปืนยิงคนมือเปล่า ย่อมเป็นการกระทำเกินกว่าจำเป็นเพื่อป้องกันได้
สำหรับการป้องกันภยันตรายจากอาวุธปืนนั้น
หากแย่งปืนมายิงเจ้าของเดิมโดยไม่ได้มีการยิงซ้ำ
ถือได้ว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
808/2540 วันเกิดเหตุผู้ตายมาพูดขอล.
ไปเป็นภรรยาจากพ่อตาแม่ยายจำเลยการที่ผู้ตายจับแขนล.ดึงเข้ามาหาตัวแม้จะมิได้มีเจตนาจะทำร้ายก็ตามแต่ก็ถือได้ว่ามีเจตนากระทำอนาจารต่อล.
เมื่อผู้ตายกระทำการละเมิดต่อกฎหมายและศีลธรรมอย่างร้ายแรงจำเลยย่อมมีสิทธิตามกฎหมายที่จะกระทำการป้องกันเกียรติยศชื่อเสียงและเสรีภาพของล.
ผู้เป็นภรรยาของตนได้โดยชอบขณะเกิดเหตุจำเลยไม่มีอาวุธใดหากจำเลยจะเข้าช่วยเหลือล.ภรรยาของตนด้วยการเข้าทำร้ายผู้ตายด้วยมือเปล่าก็อาจถูกผู้ตายชักอาวุธปืนออกมายิงได้ในภาวะเช่นนั้นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากแย่งอาวุธปืนจากผู้ตายแล้วยิงผู้ตายถ้าเพียงจะใช้อาวุธปืนตีผู้ตายปืนอาจลั่นไปถูกคนอื่นหรือผู้ตายอาจแย่งคืนมายิงเอาได้จำเลยแย่งอาวุธปืนได้ก็ยิงทันทีโดยไม่เลือกว่าจะถูกตรงไหนแล้วทิ้งอาวุธปืนวิ่งหนีการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำไปพอสมควรแก่เหตุจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา68
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
1262/2553 ผู้ตายใช้มีดอีโต้ไล่ฟันจำเลยมาแล้ว
ต่อมาผู้ตายขับรถยนต์กระบะกลับมาที่บ้านของจำเลยอีกครั้ง
โดยผู้ตายเหน็บอาวุธปืนพกลูกซองสั้นไว้ที่เอวด้านหน้าขึ้นบันไดไปหาจำเลยที่ชั้นบนและร้องท้าทายจำเลยให้เอาอาวุธปืนของจำเลยมายิงกันให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
การกระทำของผู้ตายที่พาอาวุธปืนมาท้าทายจำเลยดังกล่าวหาใช่เป็นการข่มขู่จำเลยตามที่โจทก์ฎีกาไม่
แต่ฟังได้ว่าผู้ตายมีเจตนาจะเข้ามาใช้อาวุธปืนยิงทำร้ายจำเลย
จึงนับเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงตัวจำเลย แม้ ย. และ ท.
ซึ่งอยู่ใต้ถุนบ้านจะไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ชั้นบน แต่ ย. และ ท.
ได้ยินเสียงตึงตังโครมครามและได้ยินเสียงจำเลยร้องให้ช่วยก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้น
อันแสดงว่าเมื่อผู้ตายขึ้นไปพบจำเลยแล้วมีการต่อสู้กัน
จำเลยจึงชอบที่จะใช้สิทธิป้องกันตนให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายของผู้ตายได้
การที่จำเลยยิงปืน 2
นัด แต่ลูกกระสุนปืนถูกผู้ตายเพียงนัดเดียว
เมื่อผู้ตายถูกยิงแล้วจำเลยไม่ได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายอีก
จึงเป็นการป้องกันที่พอสมควรแก่เหตุตาม ป.อ. มาตรา 68
อย่างไรก็ดี
หากการต่อสู้เกิดขึ้นด้วยการสมัครใจเข้าทะเลาะวิวาท แม้จะมีการยิงกันเกิดขึ้น
ผู้กระทำความผิดก็ไม่สามารถอ้างป้องกันเพื่อยกเว้นความผิดได้
และหากเป็นการสมัครใจทะเลาะวิวาทแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายลงมือทำร้ายก่อนแต่อย่างใดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
1643/2554 ตามพฤติการณ์ที่ผู้ตายยืนร้องตะโกนด่าอยู่หน้าบ้านแล้วจำเลยที่
2
ออกไปแย่งอาวุธปืนแล้วตีศีรษะผู้ตายโดยแรงทันที
แม้ข้างศพผู้ตายจะมีมีดปลายแหลมตกอยู่โดยจำเลยที่ 2 อ้างว่าเมื่อแย่งอาวุธปืนจากผู้ตายแล้วผู้ตายชักอาวุธมีดจะแทงจำเลยที่
2 แต่การที่จำเลยที่ 2 ตะโกนว่า
"ทนไม่ไหวแล้วโว้ย"
แล้ววิ่งเข้าไปแย่งอาวุธปืนจากผู้ตายอันมีลักษณะเหมือนจะทำร้ายผู้ตาย
จึงมีสภาพเสมือนจำเลยที่ 2 สมัครใจเข้าไปวิวาทกับผู้ตาย
ไม่อาจยกเอาการป้องกันสิทธิของตนขึ้นอ้างเพื่อลบล้างความผิดของตนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
935/2554 การที่จำเลยพกมีดปลายแหลมไปตามหาผู้เสียหายที่บ้าน
เพราะโกรธผู้เสียหายที่ไปทำร้าย ส. บุตรเขยจำเลย
เมื่อผู้เสียหายได้ยินจึงเดินออกจากบ้าน แล้วต่างฝ่ายต่างเดินเข้าหากัน
ผู้เสียหายชกต่อยจำเลยไป 1
ครั้ง ขณะเดียวกันจำเลยก็ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายหลายครั้ง
ตามพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยสมัครใจวิวาทกับผู้เสียหาย
จะอ้างเหตุว่าจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตัวไม่ได้
การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
864/2554 ในวันเกิดเหตุตอนเช้าเวลาประมาณ
10
นาฬิกา จำเลยที่ 1 มีเหตุชกต่อยกับผู้ตายมาก่อน
มีอาจารย์เข้ามาห้ามแต่จำเลยที่ 1 กับพวกก็ยังคงไม่ยุติ
ออกติดตามหากลุ่มของผู้ตายต่อไป แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 กับพวก
ยังต้องการพบผู้ตายด้วยสาเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด
มิฉะนั้นคงไม่ออกติดตามจนกระทั่งมาพบผู้ตายตอนเย็นจำเลยที่ 1 ก็เดินเข้าไปหาผู้ตายทั้งๆ ที่ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 กับผู้ตายมีเหตุทะเลาะวิวาทกันในตอนเช้า
การเดินเข้าไปหาผู้ตายในลักษณะดังกล่าวนั้น
ย่อมเล็งเห็นผลแล้วจะต้องเกิดเหตุทะเลาะวิวาทอย่างหนึ่งอย่างใดอย่างแน่นอน ดังนั้น
จำเลยที่ 1 จึงไม่ควรเข้าไปหาผู้ตายก่อน เพราะผู้ตายก็ยังมิได้ทำอะไรจำเลยที่
1 ส่วนเหตุการณ์ในตอนเช้ายุติไปแล้วไม่มีเหตุการณ์ใดๆ
ที่จำเลยที่ 1 จะต้องเดินเข้าไปหาผู้ตายอีกการที่จำเลยที่ 1
เดินเข้าไปหาผู้ตายโดยมีอาวุธปืนติดตัวเตรียมพร้อมมาด้วยจึงไม่มีทางฟังเป็นอย่างอื่น
นอกจากต้องการมีเรื่องกับผู้ตายอีก การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการสมัครใจทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย
และเมื่อเป็นการสมัครใจวิวาทซึ่งกันและกันแล้ว การที่ผู้ตายยิงจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็ยิงผู้ตายเช่นเดียวกัน
จึงหาอาจอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวได้ไม่ ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
BY-
ทนายวรทัศน์ โฉมสินทร์ ปรึกษากฎหมายโทร
095-9567735 , 080-3955536 , 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer
หรือ คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments