ผู้ใดให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่าเป็นโสด ไม่เคยมีคู่สมรส(อันเป็นความเท็จ)ไม่ว่าจะชอบหรือมิชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นการแจ้งความอันเป็นเท็จ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวชาวบ้านมาก
ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านในเมืองหรือนอกเมือง ที่แต่งงานมีคู่สมรสกันแล้ว
แม้ว่าจะจดทะเบียนสมรสหรือไม่จดทะเบียนสมรสกันก็ตาม แต่ทั้งสองอย่างนี้
ทำให้สถานภาพของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงไปจาก “โสด” กลายเป็น “สมรส”
ซึ่งทำให้เกิดสิทธิและหน้าที่ในทรัพย์สินที่มีอยู่ร่วมกัน เพราะหากจดทะเบียนสมรส
ทรัพย์สินนั่นย่อมกลายเป็นสินสมรส หรือหากแต่งงานกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส
ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันย่อมเป็นกรรมกสิทธิ์ร่วม หากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำนิติกรรมไปฝ่ายเดียวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง
คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งย่อมมีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ และนอกจากนี้
หากคู่สมรสฝ่ายหนึ่งที่แต่งงานแล้วยังแจ้งข้อความต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่า “โสด”
ย่อมมีความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าหนักงานด้วยอีกด้วย
มาดูตัวอย่างคำพิพากษาฎีกากันครับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8739/2552 จำเลยซื้ออาคารชุดอุรุพงษ์คอนโดในระหว่างสมรสกับโจทก์
อาคารชุดดังกล่าวจึงเป็นสินสมรส ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1476 (1) และมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง
สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีจำนองอสังหาริมทรัพย์
หากคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียวหรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง
คู่สมรสอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ การที่จำเลยให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่าเป็นโสดไม่เคยมีคู่สมรสไม่ว่าจะชอบหรือมิชอบด้วยกฎหมาย
จึงเป็นการแจ้งความอันเป็นเท็จอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 137
เมื่ออาคารชุดอุรุพงษ์คอนโดเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลย
อำนาจการจัดการจำนองอาคารชุดดังกล่าวจึงเป็นของโจทก์และจำเลยร่วมกัน
แม้จำเลยจะมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียวจำเลยก็ไม่มีอำนาจทำนิติกรรมโดยโจทก์ไม่ยินยอม
การที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานที่ดินดังกล่าวย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยไม่ต้องคำนึงว่าโจทก์ต้องร่วมรับผิดชำระหนี้จำนองหรือโจทก์มีสินสมรสเพิ่มขึ้นหรือไม่
โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้อง
การคุมความประพฤติจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 56 เป็นเพียงวิธีการที่ศาลกำหนดเงื่อนไขประกอบ
การใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยเท่านั้น
บทบัญญัติดังกล่าวมิได้มีหลักเกณฑ์ว่า
ความผิดที่จะกำหนดเงื่อนไขคุมความประพฤติต้องเป็นความผิดร้ายแรง
หรือจำเลยต้องมีความประพฤติเสื่อมเสียหรือเป็นอันตรายต่อสังคม
หรือติดยาเสพติดให้โทษดังที่จำเลยกล่าวอ้าง
เมื่อปรากฏว่าศาลล่างทั้งสองรอการลงโทษจำคุกจำเลย
การที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 56 จึงชอบแล้ว
แต่ถ้าเคยจดทะเบียนสมรสและหย่าแล้ว
แม้จำเลยจะแจ้งต่อนายทะเบียนว่าจำเลยเคยสมรสแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็มีผลอย่างเดียวกันว่าจำเลยไม่มีคู่สมรสในขณะที่จำเลยจดทะเบียนสมรสกับ
ส. นั่นเอง ไม่ผิดฐานแจ้งความเท็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1237/2544 ขณะที่จำเลยจดทะเบียนสมรสกับ
ส. ในวันที่ 10 สิงหาคม 2531 จำเลยไม่มีคู่สมรสเพราะจำเลยจดทะเบียนหย่ากับ ค. แล้วตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2515 จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 1452 การที่
จำเลยไม่มีคู่สมรสอยู่ในขณะที่จดทะเบียนสมรส
แม้จำเลยจะแจ้งว่าจำเลยเคยสมรสแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็มีผลอย่างเดียวกันว่าจำเลยไม่มีคู่สมรสในขณะที่จำเลยจดทะเบียนสมรสกับ
ส. นั่นเองการที่นายทะเบียนจดทะเบียนสมรสให้จำเลยกับ ส. โดยเชื่อว่าจำเลยไม่เคยสมรสมาก่อนจึงไม่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายและไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และมาตรา 267
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 137 "ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน
ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน
หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
มาตรา 172
"ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานอัยการ
ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา
ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี
หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
มาตรา 173
"ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น
แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาว่า
ได้มีการกระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท"
มาตรา 174
"ถ้าการแจ้งข้อความตามมาตรา ๑๗๒ หรือมาตรา ๑๗๓
เป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องถูกบังคับตามวิธีการเพื่อความปลอดภัย
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท
ถ้าการแจ้งตามความในวรรคแรก
เป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษหรือรับโทษหนักขึ้น
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท"
ปรึกษากฎหมายโทร
080-9193691
, 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ
คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments