ลูกหนี้เจตนากู้ยืมเงิน แต่เจ้าหนี้ให้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินไว้เป็นประกัน สัญญาซื้อขายไม่มีผลบังคับ

       ลูกหนี้มีเจตนากู้ยืมเงินนายทุน แต่นายทุนอยากได้หลักประกันการชำระหนี้ จึงขอให้ลูกหนี้ทำสัญญาซื้อขายที่ดิน เพื่อเป็นหลักประกันว่า เมื่อครบกำหนดระยะเวลาคืนเงินลูกหนี้จะไม่เบี้ยว  สัญญาซื้อขาย ไม่สามารถใช้บังคับได้ ถือเป็นนิติกรรมอำพราง  เพราะเจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญาไม่ได้มีเจตนาทำสัญญาซื้อขาย แต่มีเจตนาที่แท้จริงคือทำสัญญากู้ยืมเงิน ดังนั้นสัญญาซื้อขายจึงเป็นโมฆะ แต่ต้องนำสัญญากู้ยืมเงิน ซึ่งเป็นสัญญาที่แท้จริงมาบังคับ  ฉะนั้นที่ดินของลูกหนี้สามารถเรียกคืนได้ ส่วนการกู้ยืมเงินต้องดูในเนื้อหาของสัญญาซื้อขายที่ดินว่ามีข้อความที่มีลักษณะว่าลูกหนี้ได้กู้ยืมเงิน และได้รับเงินหรือไม่ หากมีลักษณะเป็นสัญญากู้ยืมเงิน ลูกหนี้ก็ยังมีหน้าที่ชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงิน ซึ่งเคยมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาวินิจฉัย มาว่า ให้ถือว่าสัญญาซื้อขายเป็นสัญญากู้ยืมเงิน ปรากฏตามฎีกาที่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1050/2536

          โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2522 จำเลยได้ทำสัญญาขายที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 624 เนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน 30 ตารางวาตั้งอยู่ที่ตำบลสำนักแต้ว อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ให้แก่โจทก์ในราคา 12,000 บาท โดยส่งมอบที่ดินให้โจทก์เข้าครอบครองทำกินและรับเงินค่าที่ดินดังกล่าวจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยต้องไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่โจทก์แต่จำเลยยังไม่ได้ดำเนินการให้โจทก์บอกกล่าวจำเลยแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไป ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน

          จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้ขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ ความจริงจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ซึ่งเป็นญาติกัน 12,000 บาทโดยตกลงให้โจทก์เข้ากรีดยางพาราเป็นการทำกินต่างดอกเบี้ย โจทก์ขอให้จำเลยทำเป็นสัญญาซื้อขายเพื่อหลีกเลี่ยงหลักศาสนาอิสลามที่ห้ามเรียกดอกเบี้ยและเพื่อมิให้เจ้าหนี้อื่นของจำเลยมายึดที่ดินแปลงนี้ สัญญาซื้อขายตามฟ้องเป็นโมฆะเพราะเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมเงิน จึงต้องบังคับกันตามสัญญากู้ยืมเงิน กล่าวคือจำเลยต้องคืนเงิน 12,000 บาท ให้แก่โจทก์และโจทก์ต้องคืนที่ดินพิพาทและ น.ส.3 ก. ให้แก่จำเลย จำเลยเคยนำเงิน 12,000 บาท ไปชำระแก่โจทก์แต่โจทก์ไม่ยอมรับ ขอให้พิพากษายกฟ้องและบังคับให้โจทก์รับเงิน 12,000 บาท จากจำเลยพร้อมทั้งส่งมอบ น.ส.3 ก. เลขที่ 624คืนแก่จำเลย

          โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้กู้ยืมเงินโจทก์ความจริงเป็นเรื่องซื้อขายที่ดินกันตามที่โจทก์ฟ้อง เหตุที่ไม่ได้จดทะเบียนการซื้อขายทันทีเพราะจำเลยรีบใช้เงิน แต่จำเลยตกลงว่าจะจดทะเบียนการซื้อขายให้ในภายหลัง ขอให้พิพากษายกฟ้องแย้ง

          ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายที่ดินตามฟ้องเป็นการอำพรางสัญญากู้ยืม สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ และถือว่าสัญญาซื้อขายฉบับพิพาทเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมบังคับกันได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์และให้โจทก์รับเงิน 12,000 บาท จากจำเลยพร้อมทั้งให้โจทก์ส่งมอบ น.ส.3 ก. เลขที่ 624 ตำบลสำนักแต้ว อำเภอสะเดาจังหวัดสงขลา คืนแก่จำเลย

          โจทก์อุทธรณ์

          ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

          โจทก์ฎีกา

          ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังยุติในเบื้องต้นว่า เดิมที่ดินพิพาทมี น.ส.3 ก. เลขที่ 624 ตำบลสำนักแต้ว อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 4 ไร่เศษเป็นของจำเลย ต่อมาวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2522 จำเลยและโจทก์ได้ลงชื่อในสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวโดยระบุว่าจำเลยขายให้แก่โจทก์ในราคา 12,000 บาท โจทก์เข้าครอบครองที่ดินพิพาทและได้รับมอบน.ส.3 ก. จากจำเลยตั้งแต่วันทำสัญญา มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า ตามสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยกับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นการซื้อขายที่ดินพิพาทกันจริงหรือเป็นสัญญาอำพรางการกู้ยืมเงินซึ่งจำเลยกู้ยืมจากโจทก์แล้วมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย เห็นว่า พยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 เป็นนิติกรรมอำพรางนิติกรรมการกู้ยืมเงิน นิติกรรมการซื้อขายจึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 วรรคแรก เดิม (มาตรา 155 วรรคแรกที่แก้ไขใหม่) และต้องบังคับตามนิติกรรมการกู้ยืมเงินซึ่งเป็นนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118วรรคสอง เดิม (มาตรา 155 วรรคสอง ที่แก้ไขใหม่) และแม้ในกรณีเช่นนี้จะมิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อจำเลยเป็นสำคัญต่างหากจากสัญญาซื้อขายก็ตาม ย่อมถือได้ว่าสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 เป็นนิติกรรมสัญญากู้ยืมเงินที่ทำกันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างจำเลยกับโจทก์จึงมีผลบังคับกันได้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยยอมชำระเงินที่กู้ยืมคืนแก่โจทก์ โจทก์ต้องคืนที่ดินพิพาทและ น.ส.3 ก. ให้แก่จำเลยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"

          พิพากษายืน

 

ปรึกษากฎหมายโทร 080-9193691 , 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer



แบบฟอร์มปรึกษากฎหมาย/คดีความ

กรุณากรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ทีมงานจะตอบคำถามท่านภายใน 3 วัน

ชื่อผู้ตอบ:

Visitors: 630,161