ยอมให้ปลูกบ้านในที่ดิน แม้อยู่มานานเท่าใดก็เป็นเพียงผู้อาศัย ครอบครองปรปักษ์ที่ดินไม่ได้!!

          การปลูกโรงเรือน(บ้าน)บนที่ดินของผู้อื่นโดยความยินยอมนั้น สิทธิของเจ้าของที่ดินและเจ้าของโรงเรือนก็ย่อมต้องเป็นไปตาม มาตรา 1310 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่บัญญัติว่า “บุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของโรงเรือนนั้น ๆ ...”  การ”ปลูกบ้านลงบนที่ดินของผู้อื่น” จึงถือเป็นการ “ปลูกบ้านให้ผู้อื่น” นั้นเอง ซึ่งในทางปฏิบัติก็เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง ในกรณีเป็นที่ดินแปลงใหญ่ หรือ เจ้าของที่ดินอนุญาตให้ญาติของตนเข้ามาปลูกบ้านอยู่อาศัยด้วยนั่นเอง

          แต่หากวันใดมีความขัดแย้งเกิดขึ้น ญาติที่เคยช่วยเหลือกันก็อาจกลับกลายเป็นร้าย จะแย่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินด้วยการอ้างว่าอยู่อาศัยมากว่า 10 ปี กรณีดังกล่าวก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน ซึ่งก็ต้องพิจารณาต่อไปว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ซึ่งโดยปกติแล้ว การยึดถือเพื่อตน อันจะเป็นการยึดถือในลักษณะปรปักษ์นั้น ต้องเป็นการถือครองโดยไม่มีสิทธิ์  ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน โดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาแสดงความเป็นเจ้าของ แต่สำหรับการอาศัยอยู่บนที่ดินของผู้อื่นเป็นระยะเวลานานนั้น แม้จะอาศัยในบ้านที่ตนเองสร้างขึ้นมา ก็ไม่อาจอ้างต่อศาลว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ได้  ดังตัวอย่างต่อไปนี้

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1766/2548 จำเลยเบิกความว่า นางถนอมเลี้ยงดูจำเลยตั้งแต่อายุ 4 ปี เมื่อจำเลยอายุ 18 ปี ได้สมรสกับนายเย็น วงษ์สีดำ แล้วอาศัยอยู่ที่กระต๊อบในที่ดินของนางถนอม จนกระทั่งจำเลยมีบุตร 4 คน นางถนอมเห็นว่าเป็นครอบครัวใหญ่ จึงให้ย้ายไปปลูกบ้านในที่ดินพิพาทโดยนางถนอมให้เงินปลูกบ้าน 1,700 บาท นางถนอมให้จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยให้จำเลยเป็นผู้ดูแลและให้จำเลยอยู่จนตลอดชีวิตชั่วบุตรชั่วหลาน จำเลยเคยขอให้นางถนอมไปจดทะเบียนยกให้แต่นางถนอมผัดผ่อนเรื่อยมา นายยง วงษ์นิล พยานจำเลยซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับจำเลยและเป็นผู้ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทให้จำเลยเบิกความว่าบ้านของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินของนางถนอมซึ่งอนุญาตให้จำเลยผู้มีศักดิ์เป็นหลานเข้ามาปลูกได้โดยเข้าใจว่าไม่ต้องเสียค่าเช่า ให้จำเลยอยู่ในฐานะบุตรหลาน เห็นว่า จำเลยและนายยงต่างก็มิได้เบิกความยืนยันว่านางถนอมยกกรรมสิทธิ์หรือความเป็นเจ้าของมีอำนาจสิทธิขาดแต่ผู้เดียวในที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย นอกจากนี้จำเลยยังเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า นางถนอมเป็นผู้สร้างทางเข้าออกสู่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ นายพิพัฒน์ วงษ์นิล พยานจำเลยเบิกความว่า ที่ดินซึ่งจำเลยใช้ปลูกบ้านเป็นที่ต่ำมีน้ำท่วม นางถนอมได้นำดินและหินมาถม เป็นการแสดงว่านางถนอมยังมีเจตนาหวงกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของตน จำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า นายสนั่น วงษ์นิล ก็เคยมีบ้านอยู่ในที่ดินพิพาท แต่ได้รื้อถอนออกไปแล้ว เป็นการเจือสมพยานโจทก์ที่นำสืบว่า นางถนอมได้อนุญาตให้ญาติที่ไม่มีที่อยู่อาศัยรวมถึงจำเลยเข้ามาปลูกบ้านอาศัยในที่ดินของตนในฐานะผู้อาศัย โดยมิได้ยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ ลักษณะการขออาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทของจำเลยย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิปรปักษ์กับเจ้าของที่ดิน ดังนั้น แม้จำเลยจะครอบครองที่ดินพิพาทเป็นเวลานานเท่าใดก็ไม่อาจได้สิทธิในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์จึงชอบแล้ว...

          คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7721/2550 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่า นายเพลปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทโดยขออาศัยสิทธิของนายสุข จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทสืบต่อจากนายเพล จึงตกอยู่ในฐานะเป็นผู้อาศัยเช่นเดียวกับนายเพล แม้โจทก์จะมิได้ห้ามปรามขณะจำเลยปลูกบ้านหลังใหม่แทนบ้านหลังเดิมของนายเพล ก็หาทำให้ฐานะของจำเลยที่เป็นเพียงผู้อาศัยเปลี่ยนแปลงไปไม่ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินอย่างเป็นเจ้าของ และไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ขึ้นยันโจทก์ได้

 

ปรึกษากฎหมายโทร 080-9193691 , 02-0749954 หรือ แอดไลน์ @closelawyer หรือ คลิก https://line.me/R/ti/p/%40closelawyer



แบบฟอร์มปรึกษากฎหมาย/คดีความ

กรุณากรอกข้อมูลให้ครบถ้วน ทีมงานจะตอบคำถามท่านภายใน 3 วัน

ชื่อผู้ตอบ:

Visitors: 630,253